วารสาร New England Journal of Medicine ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ รายงานเกี่ยวกับ วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ โดยอ้างอิงผลการศึกษาของนักวิจัย 2 รายจากแคนาดา ระบุว่า รัฐบาลสามารถ ชะลอการฉีดวัคซีนโดสที่ 2 ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และบิออนเทค ออกไป เพื่อให้มีการฉีดวัคซีนโดสแรกให้ครอบคลุมกลุ่มที่มีความสำคัญทุกกลุ่ม เนื่องจากวัคซีนโดสแรกของไฟเซอร์มีประสิทธิภาพอย่างมากในการป้องกันไวรัสโควิด-19
รายงานระบุว่า วัคซีนโดสแรกของไฟเซอร์มีประสิทธิภาพถึง 92.6% ในการป้องกันโควิด-19 ขณะที่วัคซีนโดสแรกของบริษัท โมเดอร์นามีประสิทธิภาพ 92.1%
ที่ผ่านมา การฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 จะห่างจากเข็มแรกเป็นเวลา 21 วัน อย่างไรก็ดี นักวิจัยเตือนว่ายังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงระยะเวลาที่วัคซีนเข็มแรกสามารถให้การป้องกันโควิด-19 แต่ก็ระบุว่า การฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกเป็นเวลา 1 เดือนก็แทบไม่ได้ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในระยะสั้น
เจ้าหน้าที่อังกฤษระบุว่า ผลการศึกษาดังกล่าวได้ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาลในการเว้นระยะห่าง 12 สัปดาห์สำหรับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 ของไฟเซอร์ให้แก่ประชาชน
ขณะเดียวกัน เมื่อวานนี้ (19 ก.พ.) บริษัทไฟเซอร์และบิออนเทค ยังได้แถลงว่า บริษัททั้งสองได้แสดงข้อมูลใหม่ต่อหน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐ ซึ่งบ่งชี้ว่าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัททั้งสองพัฒนาร่วมกัน ยังคงมีความเสถียรที่ระดับอุณหภูมิของภาชนะแช่แข็งที่ใช้จัดเก็บยา หรือตู้เย็นทั่วไป
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า วัคซีนของไฟเซอร์จะต้องมีการจัดเก็บในอุณหภูมิ -80 C ถึง -60 C ซึ่งจะจัดเก็บได้นาน 6 เดือน ขณะที่อุณหภูมิระหว่างการขนส่งจะต้องอยู่ที่ -90 C ถึง -60 C ซึ่งจะอยู่ได้นาน 30 วัน ซึ่งการที่วัคซีนของไฟเซอร์จำเป็นต้องจัดเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำมาก ได้สร้างปัญหาต่อการขนส่งวัคซีน โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนา ซึ่งแตกต่างจากวัคซีนของบริษัทอื่นที่สามารถจัดเก็บในอุณหภูมิที่สูงกว่าวัคซีนของไฟเซอร์หรือสามารถจัดเก็บได้ในตู้เย็นทั่วไป