ส.อ.ท.-ตลท.-เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ดัน SMEs/Startups สู่ตลาดทุน LiVE Exchange

07 ต.ค. 2564 | 04:13 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ต.ค. 2564 | 11:16 น.

ส.อ.ท. ร่วมมือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเคพีเอ็มจี ประเทศไทย สนับสนุน SMEs/Startups ปูแนวทางสู่ตลาดทุน LiVE Exchange คาดว่าจะมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 100 บริษัทสนใจเข้าร่วม

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท. ดำเนินการร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย จัดทำหลักสูตรเพื่อบ่มเพาะผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก โดยเฉพาะเอสเอ็มอี (SMEs) และ Startups ที่มีศักยภาพและต้องการระดมทุนในตลาดทุนผ่าน LiVE Exchange ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งเงินทุนทางเลือกสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้น โดยคาดว่าจะมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 100 บริษัทสนใจเข้าร่วมโปรแกรม
ทั้งนี้ การส่งเสริมสมาชิกให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นภารกิจที่สำคัญที่ ส.อ.ท. ดำเนินการมาโดยตลอด ซึ่งการระดมทุนในตลาดทุนเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สมาชิกให้ความสนใจ  โดยที่ผ่านมาการระดมทุนในตลาดทุนผ่าน SET และ mai ค่อนข้างยากสำหรับธุรกิจ SMEs และ Startups แต่ด้วยการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups หรือ LiVE Exchange ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างพัฒนากฎเกณฑ์และระบบงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงการระดมทุนได้ง่ายขึ้น 

"อย่างที่ทราบว่าสมาชิก ส.อ.ท. กว่า 80% เป็นผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงกลุ่ม Startups ใหม่ที่เริ่มเข้ามาในเครือข่ายของ ส.อ.ท. เอง การพัฒนา LiVE Exchange จะช่วยเปิดโอกาสให้สมาชิกที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เติบโต มีแหล่งเงินทุนมารองรับ การร่วมมือครั้งนี้จะมุ่งเน้นการสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ให้กับสมาชิก โดยอยู่ระหว่างการพัฒนารูปแบบการจัดทำโครงการต่างๆ ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และเคพีเอ็มจี ซึ่งหากมีค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ ส.อ.ท. จะมีการกำหนดอัตราพิเศษสำหรับสมาชิก รวมถึงจะได้จัดหางบประมาณมาสนับสนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายดังกล่าวในลำดับต่อไป"
ดร.ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ตลท. เล็งเห็นถึงความสำคัญในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านกลไกตลาดทุนของผู้ประกอบการทุกขนาด เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs และ Startups ตลท. จึงได้ร่วมกับสำนักงาน ก.ล.ต. พัฒนากฎเกณฑ์รองรับการระดมทุนในวงกว้าง (IPO) และเตรียมจัดตั้งตลาดรองสำหรับ SMEs และ Startups หรือ LiVE Exchange เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการและเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้กับผู้ลงทุน 

ดัน SMEs / Startups สู่ตลาดทุน LiVE Exchange
โดยการพัฒนา LiVE Exchange ใช้แนวคิด Light-touch supervision ซึ่งปรับกฎเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม เพื่อให้ SMEs และ Startups เข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการ LiVE Exchange ได้ภายในสิ้นปี 2564
นอกจากนี้ เพื่อให้ SMEs และ Startups มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุน กลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดบริการ LiVE Platform โดยร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนกว่า 25 ราย พัฒนาองค์ความรู้ และบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ อาทิ การเรียนรู้ผ่าน e-Learning บริการ Business Coaching เป็นต้น 

"ความร่วมมือกับ ส.อ.ท. และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย ครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ที่เป็นสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมฯ ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งต่อยอดบริการบน LiVE Platform ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs / Startups ได้มากยิ่งขึ้น”
นายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจ SMEs และกลุ่ม Startups มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เคพีเอ็มจี ประเทศไทย มีประสบการณ์ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ รวมทั้งการบริหารจัดการปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการ ทั้งในด้านการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นอย่างดี โดยเแต่ละองค์กรต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ให้ครบถ้วนและวิเคราะห์เชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านดำเนินธุรกิจ การเงิน การบัญชี ข้อบังคับทางกฎหมายและภาษี 
"เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการด้านสอบบัญชี ภาษี กฎหมายและที่ปรึกษาธุรกิจ มีความพร้อม มีผู้เชี่ยวชาญ และมีเครือข่ายเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก โดยพร้อมที่จะสนับสนุนในการร่วมยกระดับกลุ่มธุรกิจ SMEs และกลุ่ม Startups โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำโปรแกรมบ่มเพาะที่ได้รวบรวมความรู้ที่จำเป็น และจัดทำเป็นหลักสูตรเฉพาะให้กับ SMEs และ Startups ซึ่งเคพีเอ็มจี ประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน”