สืบเนื่องมาจากการที่ นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ได้ร่วมประชุมคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ และต่อมาได้ทำหนังสือยื่นข้อเสนอผ่านคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติให้ยางพาราสามารถวัดการกักเก็บคาร์บอนเครดิตและควรให้มีการซื้อขายกันภายในประเทศกับบริษัทที่มีการปลดปล่อยมลพิษออกมาส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เมื่อวันนี้ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา และ ต่อมา พล.อ. ประยุทธ จันโอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งให้ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.นัดหารือร่วมกับ มีความคืบหน้าตามลำดับ
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564 นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” วันนี้ ได้มีการประชุมผ่านระบบ conference ร่วมกับผู้แทนองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) ถึงแนวทางการจัดทำการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่สวนยาง
ซึ่งในการหารือครั้งนี้เพื่อหารือและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สร้างความเข้าใจการดำเนินการ ทั้งขั้นตอน ระเบียบวิธีการ ข้อกำหนด เงื่อนไข รวมทั้งแนวทางปฏิบัติตลอดจนรับทราบปัญหาอุปสรรคต่างๆ ในแนวทางการประเมินการกักคาร์บอนเครดิในพื้นที่สวนยาง รวมทั้งยังไม่มีข้อบังคับให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ได้รับประโยชน์มาร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ที่ประชุมได้ชูพื้นที่ EEC (จ.ระยอง จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรี) เป็นพื้นที่ Pilot Project นำร่องเนื่องจากมีทั้งสวนยางที่เข้าเงื่อนไข ประมาณ 1.5 ล้านไร่และมีกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตหากมีการ matching กันในการซื้อขายกันได้จริง ก็ได้ขยายผลต่อยอดไปยังพื้นที่สวนยางทั้งประเทศไทยกว่า 30 ล้านไร่ในอนาคต
"นอกจากจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยและช่วยเพิ่มมูลค่าในการส่งออก ด้วยการความเชื่อมั่นในสินค้าที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมจากประเทศไทยแล้วยังช่วยสร้างโอกาส ขยายผลในการส่งออก ช่วยลดผลกระทบจากการกีดกันทางการค้าในเวทีโลก ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายที่พณฯ ท่านประยุทธ จันโอชา นายกรัฐมนตรีไปรับปากไว้ในเวทีประชุม Crop 26 ประเทศอังกฤษ อีกด้วย"
อย่างไรก็ตาม นายอุทัย กล่าวว่า หลังประชุมดังกล่าวทางสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยจะได้มีการนัดประชุมหารือคณะกรรมการสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน พร้อมกับทำหนังสือยื่นเสนอต่อ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ (กนย.) เพื่อเร่งผลักดันในเรื่องนี้ให้เป็นวาระแห่งชาติต่อไป