ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผยถึงความคืบหน้าการจดทะเบียนเพื่อจัดตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำให้แก่ภาคประชาชนใน 3 ภาค ได้แก่ ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 เป็นต้นมาถึง ณ ปัจจุบัน มีองค์กรผู้ใช้น้ำยื่นคำขอจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,271 องค์กร พิจารณาอนุมัติแล้ว 3,238 องค์กร ส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกรรม 2,702 องค์กร ภาคอุตสาหกรรม 271 องค์กร ภาคพาณิชยกรรม 265 องค์กร
สำหรับการคัดเลือกคณะกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2564 ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอประกาศแต่งตั้ง สำหรับกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ อยู่ระหว่างการคัดเลือก/สรรหา คาดว่าจะได้ครบทุกองค์ประกอบทั้ง 22 ลุ่มน้ำภายในเดือนมีนาคมนี้ และประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการภายในเดือนเมษายนนี้ จากนั้นคณะกรรมการจะไปกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าน้ำ ซึ่งจะมีอัตราแตกต่างกันตามประเภทและพื้นที่
ทั้งนี้ความเป็นมาของคณะกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำ เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 ที่กำหนดให้มีกรรมการลุ่มน้ำประจำลุ่มน้ำ โดยมีองค์ประกอบ ประกอบด้วย กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดในเขตลุ่มน้ำนั้น และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จากจังหวัดต่าง ๆ ในเขตลุ่มน้ำ จังหวัดละ 1 คน กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคพาณิชยกรรม ภาคละ 3 คน รวม 9 คน และ กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ จำนวน 4 คน
โดยคณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ ได้แก่ การจัดทำแผนแม่บทการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟูและการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ การจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง/ภาวะน้ำท่วม การพิจารณาปริมาณการใช้น้ำ การจัดสรรน้ำ และจัดลำดับความสำคัญในการใช้น้ำ การให้ความเห็นชอบการอนุญาตการใช้น้ำประเภทที่ 2 คือ ภาคอุตสาหกรรม และน้ำประเภทที่ 3 คือพาณิชยกรรม ที่ตามพ.ร.บ. กำหนดให้เก็บค่าน้ำ ขณะที่การใช้น้ำประเภทที่ 1 คือ เพื่อเกษตรกรรมนั้น ไม่มีการจัดเก็บ
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการลุ่มน้ำ ฯ ยังมีหน้าที่การพิจารณาให้ความเห็นแผนงาน โครงการด้านทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ การไกล่เกลี่ย และชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้น้ำ ตลอดจนการส่งเสริมและรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้แก่ประชาชนในการใช้ การพัฒนา การบริหารจัดการ การบำรุงรักษา การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำในเขตลุ่มน้ำ
“เบื้องต้นจะพิจารณาจัดเก็บอัตราค่าน้ำประเภทที่ 2 และ 3 แน่นอน ส่วนอัตราที่ต้องจ่ายจะเป็นเท่าใดนั้น จะต้องมีคณะกรรมการลุ่มน้ำขึ้นมากำหนดในแต่ละพื้นที่ที่ไม่เท่ากัน ส่วนการใช้น้ำเพื่อทำเกษตรประเภทที่ 1 ยังไม่มีการพิจารณา ดังนั้น ภายในเดือนเมษายนนี้น่าจะต้องเกิดคณะกรรมการลุ่มน้ำก่อน ซึ่งจะมีผู้แทนรายภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องเข้ามามีส่วนร่วมมิติใหม่ครั้งนี้” ดร.สุรสีห์ กล่าว
อนึ่ง 22 ลุ่มน้ำภายใต้การบริหารจัดการและจะต้องร่วมกันกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรผู้ใช้น้ำของคณะกรรมการลุ่มน้ำที่จัดตั้งขึ้น ได้แก่ 1.ลุ่มน้ำสาละวิน 2.ลุ่มน้ำโขงเหนือ 3. ลุ่มน้ำโขงตะวันออกเฉียงเหนือ4. ลุ่มน้ำชี 5.ลุ่มน้ำมูล 6.ลุ่มน้ำปิง 7.ลุ่มน้ำยม 8.ลุ่มน้ำวัง9. ลุ่มน้ำน่าน10. ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 11.ลุ่มน้ำสะแกกรัง 12. ลุ่มน้ำป่าสัก 13. ลุ่มน้ำท่าจีน 14. ลุ่มน้ำแม่กลอง 15. ลุ่มน้ำบางปะกง 16. ลุ่มน้ำโตนเลสาบ 17. ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก 18.ลุ่มน้ำเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ 19.ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน 20.ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา 21. ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนล่างและ 22 ลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก ทั้งหมดเพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรผู้ใช้น้ำ