นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าสินค้าไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบตะวันออกกลาง และเอเชีย เช่น ผ้าบาติกเดอนาราปัตตานีจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าญี่ปุ่น รองเท้าเปลือกทุเรียนดินภูเขาไฟศรีสะเกษจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าดูไบ แยมผลไม้ 108 ฟู้ดจากนครราชสีมาจับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าดูไบและบาห์เรน
ยาสีฟันสมุนไพรบุปผาวันจากนครสวรรค์จับคู่ธุรกิจกับคู่ค้ามาเลเซีย และไอศกรีมบุณยเกียรติเพชรบูรณ์จับคู่ธุรกิจกับคู่ค้าจีน และยังได้จับคู่ธุรกิจกับห้างโมเดิร์นเทรดในประเทศ อาทิ คิงส์พาวเวอร์ เดอะมอลล์ โลตัส ท๊อปซุปเปอร์มาร์เก็ต และลาซาด้า
โดยสินค้าที่ได้รับความสนใจส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีการออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์สวยงามและใช้นวัตกรรมสร้างความแตกต่าง รวมถึงสินค้าที่ได้รับมาตรฐาน อาทิ สินค้าเกษตรที่มีมาตรฐานรับรองจาก อย. GMP และฮาลาล
สินค้านมที่ได้รับมาตรฐาน Est.จากกรมปศุสัตว์ และ GACC จากสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ขณะที่อาหารจากพืช (ทอดมันกุ้งมันตรา) ซึ่งรองรับกระแสอาหารแห่งอนาคต (Future Food) และสินค้าที่มีเอกลักษณ์ อาทิ ถั่วลายเสือภูมิไทยจากแม่ฮ่องสอน เสื้อผ้ามัดย้อมห่มรักจากนนทบุรี เสื้อผ้าจุฑาทิพจากขอนแก่น ถ่านไม้ไผ่ดูดกลิ่นจากนครราชสีมา ชุดเสื้อผ้าลายผ้าขาวม้าอิมปานิจากราชบุรี ผ้าย้อมสีธรรมชาติหนองบัวแดงจากชัยภูมิ รองเท้าเพื่อสุขภาพเจมิโอ้ และเสื้อผ้าซีเนียลุค ก็มีผู้สนใจจำนวนมากเช่นกัน
ด้านนางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กรมฯ มีเป้าหมายในการสร้างความรู้และการใช้ประโยชน์จาก FTA ที่ไทยมีอยู่ 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ที่ใช้เป็นแต้มต่อทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะความตกลง RCEP ซึ่งเป็น FTA ฉบับล่าสุดที่มีผลบังคับใช้เมื่อต้นปีที่ผ่านมา