ชี้เป้า3ตลาดแจกกำไร บลจ.กสิกรแนะรับมือปี61 ผันผวน ดอกเบี้ยขึ้น

21 ธ.ค. 2560 | 06:18 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ธ.ค. 2560 | 13:18 น.
บลจ.กสิกรไทยฯ ชี้เฟดขึ้นดอกเบี้ยตามคาดพร้อมส่งสัญญาณอีก3ครั้งปีหน้าแนะกระจายลงทุนนอกชูตลาดหุ้นยุโรป-เอเชีย-ญี่ปุ่นโดดเด่นรับเศรษฐกิจฟื้นราคายังถูก

นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มุมมองการลงทุนในต่างประเทศปี 2561 ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดขนาดงบดุล โดยหยุดซื้อพันธบัตรเพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมที่หมดอายุในปริมาณที่สูงขึ้น รวมทั้งธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะเริ่มลดวงเงินทำคิวอีตั้งแต่ต้นปี 2561 ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้การคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลกประมาณ 20% เหมือนในปีนี้เป็นไปได้ยาก โดยคาดการณ์ผลตอบแทนของตลาดอาจไม่เกิน 10% ขณะที่ความผันผวนค่อนข้างสูง

[caption id="attachment_242428" align="aligncenter" width="396"] นาวิน อินทรสมบัติ นาวิน อินทรสมบัติ[/caption]

“ล่าสุดเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นไปตามคาด พร้อมสัญญาณขึ้นอีก 3 ครั้งในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวแข็งแกร่ง จึงมองตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ควรกระจายการลงทุนไปหลายตลาด ซึ่งราคายังไม่แพงจนเกินไปและแนวโน้มเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว นอกเหนือจากตลาดหุ้นไทยซึ่งยังเป็นขาขึ้น” นายนาวิน กล่าว

สำหรับตลาดหุ้นที่แนะนำ ได้แก่ ตลาดหุ้นยุโรป เอเชีย และญี่ปุ่น เนื่องจากราคาหุ้นทั้ง 3 ตลาดยังไม่แพงเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งเศรษฐกิจยุโรปฟื้นตัวต่อเนื่องส่งผลดีต่อบริษัทจดทะเบียนและตลาดหุ้น ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียเติบโตสูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ โดยมีจีนและอินเดียเป็นตลาดหลักในการขับเคลื่อนและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนญี่ปุ่นจีดีพีขยายตัวติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 7 และได้ผลดีจากค่าเงินสหรัฐฯแข็งค่า ทำให้เงินเยนอ่อน หนุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้น

ปัจจุบันตลาดหุ้นญี่ปุ่นพี/อีประมาณ 14 เท่า ถูกที่สุดเมื่อเทียบตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างยุโรปอยู่ที่ 15 เท่าปลายๆ และสหรัฐฯ 19 เท่า ซึ่งตลาดหุ้นสหรัฐฯขึ้นมามากอีกทั้งยังมีประเด็นการปฏิรูปภาษีที่ยังต้องติดตาม

อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดหุ้นอินเดียก็น่าสนใจ เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตสูงโดดเด่น แต่ช่วงที่ผ่านมาหุ้นขึ้นมามาก พอกำไรบริษัทจดทะเบียนออกมาไม่ถึงเป้าจึงเกิดแรงขายหุ้นออกมา ระยะสั้นจึงแนะนำชะลอลงทุน แต่หากลงทุนได้ 3 ปีก็ยังทยอยสะสมได้ ส่วนธีมลงทุนในกลุ่มเฮลธ์แคร์ ยังแนะนำให้มีในพอร์ตลงทุนในระยะยาว เนื่องจากมองว่ามีการเติบโตต่อเนื่องจากประชากรโลกสูงวัยจำเป็นต้องใช้ยามากขึ้น แต่การเติบโตอาจค่อยเป็นค่อยไป7-8%ต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ ก็ยังถูกกว่า

บาร์ไลน์ฐาน นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ จก. กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นปี 2561 แม้จะยังอยู่ในขาขึ้น แต่จะมีความผันผวนมากขึ้น เนื่องจากมูลค่าค่อนข้างแพงในหลายๆตลาด ทำให้อัพไซด์จำกัดขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องและเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงที่สำคัญคือเงินเฟ้อที่อาจจะเร่งตัวมากกว่าคาด ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกให้เร่งตัวขึ้น และจะส่งผลกดดันราคาหุ้น ดังนั้นการลงทุนจึงต้องอาศัยการจับจังหวะและคัดเลือกสินทรัพย์การลงทุนมากกว่าในปี 2560

ทั้งนี้ ล่าสุดนักลงทุนให้ตอบรับกองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส ไฟแนนเชียล มียอดจองซื้อครั้งแรก 1,600 ล้านบาท เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มการเงินของสหรัฐฯ ยังขึ้นน้อยกว่าดัชนี S&P500 ขณะที่แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะหนุนรายได้ดอกเบี้ยในกลุ่มธนาคาร

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,323 วันที่ 17 - 20 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9