บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซียพลัส ( ASPS ) ระบุในบทวิเคราะห์ต่อกรณีที่ ธนาคารกลางเมียนมาออกคำสั่งให้ ธนาคารที่ได้รับอนุญาตแจ้งลูกค้าธุรกิจและรายย่อย ระงับการจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ต่างประเทศ เพื่อรักษาปริมาณทุนสำรองเงินตราต่างประเทศที่ลดลงต่อเนื่อง
โดยแหลงข่าวจาก Bloomberg ระบุว่า มีบริษัทต่างประเทศในเมียนมามีเงินกู้ยืมในสกุลต่างประเทศอย่างน้อย 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเริ่มเห็นรัฐบาลเข้าควบคุมค่าเงินพม่าชัดเจนตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยรัฐบาลมีคำสั่งให้ผู้มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศแปลงสกุลเงินของตนเป็นเงินจ๊าต (สกุลเงินท้องถิ่น) ที่อัตราอ้างอิงของธนาคารกลางที่ 1,850 จ๊าด/ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งของรัฐบาล เพื่อป้องกันความผันผวนของสกุลเงินท้องถิ่น
อ่านเพิ่มเติม : แบงก์ชาติเมียนมาเข้าตาจน! สั่งธุรกิจ-ผู้กู้รายย่อยระงับชำระหนี้ตปท.
อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยระบุว่า หากดูปริมาณการค้าระหว่างเมียนมากับไทย พบว่ามีมูลค่า 4.8 พันล้านเหรียญ (ข้อมูล ณ สินปี 2564) โดยไทยเป็นประเทศคู่ค้ากับเมียนมาใหญ่สุดเป็นอันดับที่ 2 มีสัดส่วนราว 14% ของประเทศคู่ค้าทั้งหมด รองจากจีนมีมูลค่าการค้า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสัดส่วน 36% ของประเทศคู่ค้าทั้งหมด
ในทางกลับกัน เมียนมากลับมีสัดส่วนการค้ากับไทยเพียง 0.85% เท่านั้น (อยู่อันดับที่ 35 เมื่อเทียบประเทศคู่ค้าอื่นๆ) ดังนั้นประเด็นนี้น่าจะกระทบการค้าไทยจำกัด
ส่วนผลกระทบรายหุ้น เบื้องต้นฝ่ายวิจัย ASPS ได้ทำการรวบรวมข้อมูลจากนักวิเคราะห์พื้นฐาน ว่ามีหุ้นอะไรที่ธุรกิจได้รับผลกระทบ “กรณีเมียนมา สั่งห้ามจ่ายหนี้ต่างประเทศ” ซึ่งมีรายละเอียดรายกลุ่มและรายบริษัทดังนี้
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง : ผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างมีการส่งออกสินค้าไปพม่าอาทิ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องเซรามิค และสินค้าวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ในสัดส่วนไม่ถึง 5% ของยอดขายรวม โดยเป็นการค้าขายตามปกติ ขณะที่ SCC ที่เคยมีโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ 1.8 ล้านตัน/ปี ได้ยุติธุรกิจดังกล่าวไปตั้งแต่ปี 2563 จากข้อพิพาทกับพันธมิตรท้องถิ่นและได้เคยตั้งสํารองด้อยค่าสินทรัพย์ไปแล้ว 4,335 ล้านบาท โดยปี 2563 ก่อนยุติธุรกิจโรงปูนซีเมนต์ในเมียนมา SCC มีรายได้จากธุรกิจปูนซีเมนต์ในเมียนมา คิดเป็น 0.7% ของรายได้รวม ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากพม่าน่าจะลดลงจนแทบไม่มีนัยสําคัญต่อ SCC
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : มี 4 บริษัทใน Coverage ของฝ่ายวิจัยที่มีความเกี่ยวข้องกับเมียนมาได้แก่ ITD ที่มีการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,843.6 ล้านบาท และได้ถูกรัฐบาลเมียนมายกเลิกสัมปทานตั้งแต่ 30 ธ.ค 63 โดยที่ ITD ยังไม่ได้มีการตั้งสํารองด้อยค่าโครงการดังกล่าว เพราะยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถเจรจากับรัฐบาลพม่าได้
NWR มีลูกหนี้ค่าก่อสร้างโรงแรมในพม่าคงค้างอีกประมาณ 191 ล้านบาท ซึ่งลูกหนี้จะทยอยชําระคืนเงินแก่ NWR ตั้งแต่ ธ.ค 2565 ถึง ธ.ค 2579 ตาม Projection กระแสเงินสดของโรงแรมดังกล่าวในอนาคต โดยปี 2565 มีกําหนดชําระหนี้ 5 ล้านบาท
TTCL มีการลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้า โดยถือหุ้น 40% ในโรงไฟฟ้า Ahlone#1 ขนาด 120MW และรับส่วนแบ่งกําไรจากโรงไฟฟ้า Ahlone#1 ประมาณ 100 ล้านบาท/ปี และอยู่ระหว่างการลงทุนโรงไฟฟ้า Ahlone#2 ขนาด 388MW โดยได้รับ PPA จากรัฐบาลพม่าตั้งแต่ปี 2564 แต่ปัจจุบันยังไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
SEAFCO มีบริษัทลูกในเมียนมาคือ SEAFCO(Myanmar) โดยถือหุ้น 80% ปัจจุบันไม่มีการรับงานในพม่าแล้ว โดยมีเครื่องจักรทําเสาเข็ม 3 ชุด รถเครน 4 คัน และรถแบ็ดโฮ ที่รอขายหรือนํากลับประเทศไทย
กลุ่มเครื่องดื่ม OSP( ราคาเป้า 37.00 บาท) โดยพิจารณายอดขายปี 2554 ราว 2.7 หมื่นล้านบาท มีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศประมาณ 4.3 พันล้านบาท (สัดส่วน 16% ของยอดขาย,+17% YoY) ส่วนใหญ่มาจากเมียนมา จึงประเมินยอดขายจากเมียนมาร์อยู่ในระดับ 10% ของยอดขาย ซึ่งส่วนนี้หลักๆ แล้วขายเป็นสกุลเงินเมียนมา ผ่าน บ.ย่อยในเมียนมา (OSP ถือหุ้นรวมกัน 85%) จึงมองผลกระทบในส่วนของยอดขายจากการมาตรการของธนาคารกลางเมียนมา ค่อนข้างจํากัด
แต่ปัจจัยด้านกําลังซื้อของผู้บริโภคในเมียนมาและการจัดเก็บเงินจากคู่ค้า รวมถึงสถานะการค่าเงินเมียนมา ยังต้องติดตามต่อไป ทั้งนี้ งวด 1Q65 ยอดขายต่างประเทศยังเติบโตดี 17.8% YoY ท่ามกลางความอ่อนแอของเศรษฐกิจเมียนมาหลังผ่านการรัฐประหารในช่วงต้นปี 2564
นอกจากนี้ OSP มีเงินกู้ยืมสกุลเงินเหรียญสหรัฐฯ ผ่าน บ. ร่วม (2 บริษัท ถือหุ้น 35% ในโรงงานผลิตขวดแก้ว และ 51.8% ธุรกิจจําหน่ายขวดแก้ว) ในเมียนมา เบื้องต้นจากการสอบถามไปยังบริษัทฯ บ. ร่วม มีภาระหนี้ประมาณ 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินไทย (ชําระเงินกู้ครั้งเดียวในอีก 7 ปีข้างหน้า) แม้ภาระหนี้ตามสัดส่วนการถือหุ้น ไม่เกินระดับ EBITDA ของ OSP ที่ราว 5 พันล้านบาทต่อปี (สถานะการเงิน ณ สิ้นงวด 1Q65 เป็น Net cash ราว3 พันล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม OSP อยู่ระหว่างบริหารจัดการภาระดอกเบี้ยจ่ายส่วนนี้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมมากสุด ผ่านการเจรจากับสถาบันการเงิน ภาพรวมยังคงประมาณการกําไรปี 2564 ที่ 3.25 พันล้านบาท
สําหรับ CBG เนื่องจากฝ่ายวิจัยไม่ได้ Coverage โดยโครงสร้างรายได้ปี 2564 ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท ราว 33% มาจากการส่งออกไปยัง CLMV แต่โครงสร้างการขายมาจากกัมพูชาเป็นหลัก จึงคาดว่ายอดขายจากเมียนมาร์จะอยู่ในระดับประมาณ 10% ของยอดขาย
อ่านเพิ่มเติม : CBG-OSP-MEGA กอดคอร่วง! เมียนมาประกาศระงับชำระหนี้ตปท.
กลุ่มธนาคารและการเงิน หากอิงจากมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังเมียนมา ราว 1% ของมูลค่าการส่งออก เบื้องต้นจึงประเมินผลส่วนนี้จํากัด ส่วนหุ้นในกลุ่มการเงิน อย่าง AEONTS ( ราคาเป้าหมาย 250 บาท ) จะได้รับผลกระทบจํากัด เพราะหลังจากรัฐประหารในเมียนมาเมื่อก.พ.64 AEONTS กํได้หยุดปล่อยสินเชื่อในเมียนมาแล้ว จนปัจจุบันแทบไม่มีสินเชื่อคงค้างในพม่าแล้ว
กลุ่มพลังงาน PTTEP ( ให้ราคาเป้าหมาย175 บาท) มีโครงการในเมียนมา อาทิ ซอติก้า, ยาดานา และ เยตากุน เป็นต้น แต่ไม่มีรายการเงินกู้ต่างประเทศสําหรับโครงการในเมียนมา ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อบริษัท ส่วนในด้านรายรับจากโครงการในเมียนมา ทาง PTTEP รับเงินจาก PTT โดยตรงเป็น USD เข้าบัญชีในประเทศไทย
ดังนั้นไม่มีความเสี่ยงเรื่องการรับเงินหรือการถูกบังคับให้แปลงเป็นเงินจ๊าด เช่นเดียวกับในด้านรายจ่าย การจ่ายเงินในเมียนมาเป็นจ๊าดทําในประเทศเมียนมา โดยการแปลงเงิน USD เป็นจ๊าด สําหรับรายจ่ายของโครงการเมียนมาที่เป็นสกุลต่างประเทศ จะทําจ่ายจากบัญชีนอกประเทศเมียนมา ดังนั้นยังสามารถบริหารจัดการได้ตามปกติ
กลุ่มชิ้นส่วน DELTA ( ราคาเป้าหมาย 280 บาท ) มีโรงงานอยู่ในประเทศเมียนมา พื้นที่การผลิต 4.5 พันตารางเมตร หรือคิดเป็น 2% ของพื้นที่โรงงานทั้งหมดทั้งในและต่างประเทศของ DELTA โดยโรงงานดังกล่าวผลิตชิ้นส่วนขั้นกลาง แล้วส่งมาประกอบต่อในไทยเป็นหลัก จึงประเมินว่าจะได้รับผลกระทบจํากัด เพราะไม่ได้มีรายได้จากการขายภายนอกมากนัก