ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,019.68 จุด เพิ่มขึ้น 197.26 จุด หรือ + 0.64%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,899.89 จุด เพิ่มขึ้น 26.56 จุด หรือ +0.69% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,535.02 จุด เพิ่มขึ้น 86.62 จุด หรือ +0.76%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวนตลอดทั้งวัน ก่อนที่ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีจะปิดตลาดในแดนบวก ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมเฟดในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 82% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ในการประชุมวันที่ 20-21 ก.ย. และให้น้ำหนัก 18% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00%
แซม สโตวอลล์ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย CFRA แสดงความเห็นว่า หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ในการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะสร้างความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว ยังเป็นการบ่งชี้ว่าเฟดมีปฏิกริยามากเกินไปต่อข้อมูลเศรษฐกิจ และลดโอกาสที่จะช่วยให้เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุ โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 3.92% หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป ดีดขึ้น 1.74% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ พุ่งขึ้น 2.24%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีฟื้นตัวขึ้น หลังจากถูกเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.51% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ปรับตัวขึ้น 1.18% หุ้นอัลฟาเฟท บวก 0.26%
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เพิ่มขึ้น 0.89% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 1.48% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 0.75%
หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวลง นำโดยหุ้นโมเดอร์นา ดิ่งลง 7.14% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ลดลง 1.15% หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.28% หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ให้สัมภาษณ์ในรายการ "60 Minutes" ของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สิ้นสุดลงแล้ว และกล่าวว่าประชาชนส่วนใหญ่ในสหรัฐเริ่มไม่สวมหน้ากากอนามัยและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว
นอกเหนือจากการประชุมเฟดแล้ว นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึงตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนส.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการและภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี โกลบอล