เซ็นแล้ว! ท่อส่งน้ำอีอีซี กรมธนารักษ์-วงษ์สยามฯ พร้อมรับก้อนแรก 624 ล้าน

23 ก.ย. 2565 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.ย. 2565 | 14:16 น.

ธนารักษ์ เดินหน้าลงนามสัญญา “วงษ์สยามฯ” บริหารโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก หลังศาลปกครองสูงสุดยกคำร้องคุ้มครองชั่วคราว พร้อมรับเงินก้อนแรกไม่รวมค่าแรกเข้า 624 ล้านบาท

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญาบริหารโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก กับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ในฐานะผู้ชนะการประมูล โดยระบุว่า หลังศาลปกครองสูงสุดยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองชั้นต้นวานนี้ (22 กันยายน 65) จึงไม่มีเหตุผลใดที่กรมธนารักษ์จะชะลอการลงนาม เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรัฐแบบรายวัน

 

ซึ่งการลงนามในวันนี้ ทำให้กรมฯ ได้รับเงินค่าแรกเข้าทันที 580 ล้านบาท เงินชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปีปีที่ 1 จำนวน 44,644,356 บาท และหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา 118,979,500 บาท ซึ่งรวม 30 ปี รัฐจะได้ผลตอบแทนทั้งสิ้นรวม 25,000 ล้านบาท

"กรมฯมีการเตรียมการเรื่องลงนามสัญญามาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 65 ดังนั้นการลงนามวันนี้กรมฯ ไม่ต้องเตรียมเอกสารใดๆ เพิ่มเติม จึงสามารถนัดลงนามสัญญาได้ทันทีก็เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายกับรัฐแบบรายวัน ดังนั้นขณะนี้จึงถือว่าวงษ์สยามเป็นคู่สัญญากับกรมฯแล้ว แต่ยังไม่สามารถเข้าดำเนินการได้จนกว่าจะมีการส่งมอบทรัพย์สินแล้วเสร็จ” นายประภาศ กล่าว 

 

เซ็นแล้ว! ท่อส่งน้ำอีอีซี กรมธนารักษ์-วงษ์สยามฯ พร้อมรับก้อนแรก 624 ล้าน

 

นายประภาศ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะมีการลงพื้นที่ร่วมกับ “วงษ์สยามฯ” เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินว่า ตรงตามที่คณะกรรมการของกรมธนารักษ์ได้สำรวจรายละเอียดไว้หรือไม่ ก่อนจะมีการส่งมอบทรัพย์สินให้กับวงษ์สยามฯ เป็นผู้บริหารโครงการท่อส่งน้ำฯ

 

โดยในช่วงแรกจะส่งมอบท่อส่งน้ำ 2 เส้น คือ โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบังระยะที่ 2 ซึ่งไม่มีการทำสัญญาบริหารโครงการ แต่ได้มอบหมายให้บริษัทอีสท์ วอเตอร์ เป็นผู้บริหารโครงการชั่วคราว ทั้งนี้จะส่งมอบได้เร็วแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความพร้อมของ “วงษ์สยามฯ” ในการเชื่อมระบบท่อส่งน้ำไปยังผู้ใช้น้ำ

 

ขณะที่โครงการท่อส่งน้ำดอกกราย ซึ่งปัจจุบัน บริษัท อีสท์วอเตอร์ เป็นผู้บริหารโครงการ จะสิ้นสุดสัญญาวันที่ 31 ธันวาคม 66 โดยวงษ์สยามฯ จะเริ่มเข้าบริหารได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 67 เป็นต้นไป รวมสัญญาทั้งหมด 30 ปี

 

นายประภาศ กล่าวอีกว่า ในส่วนของคดีฟ้องร้องหลัก ที่ “อีสท์วอเตอร์ฯ” ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ ในประเด็นการยกเลิกผลการประมูลครั้งที่ 1 มิชอบ และ ผลการคัดเลือกการประมูลครั้งที่ 2 มิชอบนั้น

 

หากกรณีศาลปกครองสูงสุดตัดสินเห็นตามคำร้อง จะมีผลทำให้สัญญาที่กรมธนารักษ์ ลงนามร่วมกับ “วงษ์สยามฯ” ในวันนี้ก็เป็นโมฆะทันที โดยวงษ์สยามฯ จะไม่สามารถฟ้องและเรียกค่าเสียหายกับกรมฯ รวมทั้งขอคืนเงินที่ชำระมาแล้วได้ ซึ่งมีการระบุอย่างชัดเจนในสัญญาแล้ว

 

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการคัดเลือกฯ จะต้องพิจารณาผลการประมูลในครั้งที่ 1 ร่วมกันใหม่ เนื่องจากขณะนั้นยังไม่มีการตัดสินว่าบริษัทใดเป็นผู้ชนะ เนื่องจากเกิดประเด็นในเรื่องของตัวเลขศักยภาพท่อส่งน้ำที่ระบุไม่ชัดเจน ทำให้ตัวเลขเกิดความเหลื่อมล้ำ เป็นเหตุผลที่ทำให้กรมฯ ต้องยกเลิกผลการประมูลครั้งที่ 1

 

แต่อย่างไรก็ตามจากผลตอบแทนตลอดระยะเวลา 30 ที่รัฐจะได้รับจากการประมูลในครั้งที่ 1 นั้น จะอยู่ที่หลักพันล้านบาทเท่านั้น ขณะที่การประมูลครั้งที่ 2 รัฐจะได้รับผลตอบแทนอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท

 

ส่วนกรมฯ จะมีการฟ้องกลับผู้ร้อง ที่ทำให้การเซ็นสัญญาเกิดความล่าช้าหรือไม่นั้น ยังต้องไปพิจารณาในรายละเอียดของการร้อง ว่ามีเจตนาประวิงเวลาหรือไม่ เพราะบริษัทที่เข้าร่วมประมูลจะมีสิทธิในการฟ้องร้องหรือยื่นอุทธรณ์ผลการประมูลได้ หากพบความไม่เป็นธรรม ซึ่งกรมธนารักษ์จะต้องมีการปรึกษาสำนักงานอัยการสูงสุดก่อน

 

นายอนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เตรียมพร้อมในการสร้างระบบท่อเพื่อเชื่อมต่อการส่งน้ำไปยังผู้ใช้น้ำแล้ว ซึ่งสามารถเข้าดำเนินการได้ทันทีเมื่อสามารถเข้าพื้นที่ได้ รวมทั้งได้มีการประสานไปยังผู้ใช้น้ำเรียบร้อยแล้ว

 

ขณะที่ราคาน้ำที่วงษ์สยามฯ จะคิดกับการประปาส่วนภูมิภาคนั้น จะอยู่ที่ 9.50 บาทต่อคิวบ์ จากปัจจุบันที่ 9.90 บาทต่อคิวบ์ ขณะที่ค่าน้ำในภาคอุตสาหกรรม วงษ์สยามฯ จะคิดไม่เกิน 12.40 บาทต่อคิวบ์ จากปัจจุบันที่ 11 - 26 บาทต่อคิวบ์ ทั้งนี้ วงษ์สยามฯ จะคิดค่าน้ำในอัตราดังกล่าวตลอดระยะเวลาอายุสัญญา 30 ปี ยกเว้นกรมชลประทาน มีการปรับขึ้นค่าน้ำดิบ