หนี้เสีย หรือ Non-Performing Loan (NPL) คือ หนี้ที่ไม่ได้รับการชำระคืนตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อที่พักอาศัย เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยไม่ครบถ้วนภายในระยะเวลา 90 วัน หรือ 3 เดือนติดต่อกัน ก็จะถูกย้ายฐานะไปเป็น NPL
หนี้เสียเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ การขาดรายได้ที่เพียงพอ การบริหารจัดการเงินไม่ดี หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเจ็บป่วย หรือการสูญเสียงาน โรงงานถูกปิดกิจการทำให้ขาดรายได้ หรือแม้แต่ผลกระทบจากภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดต่างๆ ไฟไหม้ น้ำท่วม ทำให้กิจการไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ตามปกติ เป็นเหตุให้สูญเสียรายได้ หรืออาจเกิดขึ้นจากการใช้จ่ายเกินความสามารถชำระคืน
ตามมาตรฐาน TFRS9 การจัดชั้นหนี้ตาม TFRS9 จะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
จากการจัดชั้นหนี้ตาม TFRS9 จะแบ่งระดับชั้นหนี้เป็น 3 ระดับ ซึ่งจากระดับของลูกหนี้ทั้งหมดก็จะถูกคำนวณออกมาเป็นผลขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ทำให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินมีความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุน จำเป็นที่จะต้องตั้งสำรองสำหรับหนี้เสียเพิ่มขึ้น
และจากการที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินต้องมีการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามหนี้เสียที่ขยายตัว นั้นก็หมายถึงว่าจะมีผลกระทบต่อกำไรด้วยแน่นอน ทั้งนี้ ด้วยเกณฑ์กำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้มีข้อจำกัดการแบกนับภาระหนี้เสียของธนาคารทำได้ไม่เกินกว่า 3% ส่วนไหนที่รับไม่ไหวก็ตัดจำหน่ายออกไป
ย้อนกลับมาหลังจากที่ลูกหนี้เข้าเกณฑ์ NPL แล้วตามเกณฑ์ ธปท. ธนาคารหรือสถาบันการเงินจำเป็นที่จะต้องเก็บหนี้ไว้ก่อนอย่างน้อย 90 วัน ถึงจะสามารถตัดจำหน่ายออกได้ ซึ่งในระหว่างนั้นก็อาจมีการติดตามทวงถาม หรืออาจมีการส่งเรื่องฟ้องศาลตามลำดับ ในการตัดจำหน่าย NPL ก็จะมีการส่งหนังสือแจ้งกำหนดขอบเขตและรายละเอียด (TOR) ในการประมูลหนี้ด้อยมูลค่า (หนี้เสีย)
ซึ่งผู้ที่จะเข้ามารับไม้ต่อในการบริหารจัดการกับหนี้ที่เป็นปัญหาเหล่านี้ คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Comp any : AMC) โดยที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินบางแห่งมีการจัดตั้ง AMC ในองค์กรเพื่อบริหารจัดการหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อย่าง NPL เองบ้างในบางส่วนที่ยังพอสามารถทำได้ หรืออาจมีการจัดตั้งร่วมลงทุนในกิจการร่วมทุน (Joint Venture) กับผู้ประกอบการ AMC
นายสุขสันต์ ยศะสินธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CHAYO ได้ให้ข้อมูลกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการเปรียบเทียบสถิติยอดรวมการปล่อยสินเชื่อใหม่ของประเทศไทยอยู่ที่เฉลี่ยราว 18 ล้านล้านบาท/ปี โดยคิดเป็นสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพหรือหนี้เสียจะอยู่ที่ประมาณ 5.4 แสนล้านบาท/ปี
แม้ว่าจะมี AMC เข้ามาช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ได้ แต่ NPL ของรอบปีใหม่ก็จะมีเข้ามาเพิ่มทุกๆ ปี ซึ่ง AMC ในประเทศไทยแม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ด้วยความสามารถในด้านเงินทุนจะพบว่ามีไม่เกิน 7-12 แห่ง ที่ทำได้ รวมมูลค่าหนี้ที่ช่วยกันมาบริหารจัดการได้จริงก็ทำได้เพียงเฉลี่ย 1-1.5 แสนล้านบาท/ปี จะเห็นได้ว่าก็ยังไม่ครอบคลุมหนี้เสียใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี
ก็ต้องบอกเลยว่าสาเหตุสำคัญที่ทำห้เกิดหนี้เสียก็คือเศรษฐกิจ หนี้เสียจะปรับตัวดีขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ทั้งในเรื่องของความสามารถในการจ้างงาน การส่งออก การท่องเที่ยว ทำให้อัตราการใช้งานรถทำได้อย่างเต็มที่ เศรษฐกิจมีเงินในระบบที่หมุนเวียนดีขึ้น ทำให้ประชาชนมีรายได้ที่เพิ่ม ก็จะมีความสามารถในการในการชำระหนี้ และไม่ก่อให้เกิดหนี้เสีย
ต้องยอมรับว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยในขณะนี้นับเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ เพราะเป็นความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยหนี้ครัวเรือนของไทยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องและมียอดคงค้างระดับสูงที่ 16 ล้านล้านบาทมานับตั้งแต่ไตรมาส 1/2566
ล่าสุด มียอดคงค้างทั้งสิ้น 16.370 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90.8% ของ GDP และคุณภาพหนี้ครัวเรือนปรับลดลงต่อเนื่อง โดยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ "หนี้เสีย" ในไตรมาส 2/2567 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.84% หรือ 5.40 แสนล้านบาท จาก 2.80% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2567