นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทาลิส จำกัดหรือ บลจ.ทาลิสเปิดเผยว่า สถานการณ์การลงทุนช่วงนี้ เป็นจังหวะที่ดีเหมาะสำหรับการลงทุน ทั้งจากการที่ตลาดหุ้นในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงจากความกังวลในเรื่องภาวะถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และธนาคารกลางของสหรัฐฯ ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ทาลิสจึงมองเห็นโอกาสในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดี ของการลงทุนในการเปิดเสนอ ขาย “กองทุนเปิด MEGA 10 ชนิดเพื่อการออม(MEGA10-SSF) และกองทุนเปิด MEGA 10 เพื่อการเลี้ยงชีพ (MEGA10RMF)” ) ระหว่างวันที่ 8 - 20 ธ.ค. 2565 ลงทุนครั้งแรก 1,000 บาท และครั้งถัดไป 1 บาท
กรณีขายคืน ผู้ลงทุนจะได้รับเงินค่าขายคืนภายใน 5 วันทำการนับจากวันที่คำนวณ NAV (โดยทั่วไปจะได้รับเงิน 3 วันทำการหลังวันทำรายการขายคืน (T+3))
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้ให้มุมมองถึงเรื่องแนวโน้มเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และจะค่อยๆ เริ่มชะลอ ดังนั้นการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงมีแนวโน้มลดลงตามไปด้วย
การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาส 3 ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการลดลงของตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลในส่วนนี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 1.6% ในไตรมาส 1 และ 0.6% ในไตรมาส 2 ซึ่งทำให้สหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค
สำหรับกองทุนเปิด MEGA10 และ MEGA10RMF เป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารทุนของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่จดทะเบียนซื้อขายใน NYSE และ NASDAQ ซึ่งเป็นบริษัทที่เน้นความเป็นผู้นำในด้านตราสินค้า (Brand Value) จากการจัดอันดับโดยสถาบันจัดอันดับตราสินค้า (Brand) ระดับสากล และคัดเลือกจากมูลค่าหลักทรัพย์ ตามราคาตลาด (Market Capitalization) และมีสภาพคล่องสูงสุด 10 บริษัทแรก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
อีกทั้งยังมีข้อมูลของทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯที่เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 2.9% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.6% และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7%
กองทุนนี้ ลงทุนตามหลักเกณฑ์การคัดเลือกหลักทรัพย์และการบริหารจัดการที่กำหนด (Rules Based Approach) โดยมุ่งหวังให้ผลประกอบการเคลื่อนไหวสูงกว่าดัชนีชี้วัดในระยะยาว
“บริษัทที่มีแบรนด์ชั้นนำระดับโลกจะมีกลุ่มลูกค้าที่จงรักภักดีต่อแบรนด์อย่างชัดเจน จึงมีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ สามารถเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่ง มีผลทำให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่ดีกว่า ดังนั้น จึงเสมือนมีเกราะป้องกันแรงกระแทกจากผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอย”นายประภาสกล่าว