จีนไร้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ ฉุดหุ้นร่วง

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า คณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีน ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการต่างๆ มากมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ในระหว่างงานแถลงข่าวที่ทุกคนต่างรอคอย แต่การเเถลงข่าวหยุดก่อนที่จะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสำคัญครั้งใหม่ ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง ส่งผลต่อการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นจีนอ่อนแอลง

ในการแถลงข่าวของคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC) ของรัฐบาลจีน เผยว่า กำลังเร่งให้รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศเร่งระดมทุนผ่านการออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษ (ultra-long sovereign bonds) ให้ครบตามเป้าหมายภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ มีรายงานว่า ณ สิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลท้องถิ่นได้ดำเนินการออกพันธบัตรพิเศษไปแล้วถึง 90% ของเป้าหมายที่กำหนดไว้

รัฐบาลจีนอนุมัติงบประมาณมหาศาลเกือบ 6 ล้านล้านหยวน

เพื่อสนับสนุนโครงการสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชนจำนวนมาก เเต่รายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับรูปแบบและเงื่อนไขของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยพันธบัตรเหล่านี้ยังคงคลุมเครือ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในหมู่นักลงทุนและผู้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจีน

ภายหลังรับรู้ข่าว หุ้นจีนร่วงลงทันที ดัชนีฮั่งเส็ง (HSI) ของฮ่องกง ซึ่งมีบริษัทจีนจดทะเบียนอยู่จำนวนมากร่วงลงเกือบ 9% ในระหว่างการแถลงข่าว เเต่ดัชนียังอยู่ในระดับสูงกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 23 กันยายน ซึ่งเป็นวันแรกที่ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบล่าสุดอยู่ 26.5% 

ดัชนี ซีเอสไอ 300 (CSI 300) ซึ่งเป็นดัชนีหุ้น 300 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดที่จดทะเบียนในจีนแผ่นดินใหญ่พุ่งขึ้นมากกว่า 10% ในเช้าวันอังคารที่ 8 ตุลาคม ก่อนการแถลงข่าว เเละได้ปรับลงลงระหว่างการแถลงข่าว แต่ยังคงสูงกว่าระดับปิดตลาดของวันที่ 20 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันทำการล่าสุดก่อนหยุดยาววันชาติจีนอยู่ 25%  

เมื่อเดือนที่แล้ว ผู้นำระดับสูงของจีนได้ส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ยาวนานซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถของประเทศในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตประจำปีที่ประมาณ 5% ก่อนวันหยุด ทางการจีนเรียกร้องให้มีการเสริมสร้างการสนับสนุนนโยบายการเงินและการคลังในการประชุมรายเดือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์ และเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมายที่มุ่งหวังที่จะยุติการตกต่ำของราคาอสังหาริมทรัพย์

การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกชะลอตัวลงหลังจากการฟื้นตัวที่น่าผิดหวังจากการล็อกดาวน์เนื่องจากโควิด-19 ซึ่งถูกกดดันจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาและการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์