บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยูที่ 1,713.43 ล้านบาท ลดลง 161.05 ล้านบาท หรือ 8.59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 1,874.49 ล้านบาท
สาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1.0% จากการฟื้นตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลัก พร้อมกับการรับรู้ผลกำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL)
ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 9.9% จากการขยายตัวของส่วนแบ่งทางการตลาดของบล.ทิสโก้ และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น 6.6% ตามจากการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร อีกทั้งบริษัทมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน
ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 3,385.40 ล้านบาท ชะลอตัวลง 3.0% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 3,491.86 ล้านบาท เนื่องจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นตามการปรับเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ยเงินฝาก ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.6% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เป็นไปตามแผนการเพิ่มสำรองกลับสู่ระดับปกติรวมทั้งสะท้อนความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง
สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) ในช่วงไตรมาส 3/67 ทรงตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.44% และบริษัทมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 159.1% สำหรับสินทรัพย์รวมของบริษัท ณ วันที่ 20 ก.ย.67 มีจำนวน 277,580.10 ล้านบาท ลดลง 1.1% จากไตรมาสก่อน
ซึ่งเป็นไปตามเงินให้สินเชื่อที่อ่อนตัวลง ทั้งสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ สินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมลดลง 1.5% มาอยู่ที่จำนวน 229,947.98 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 233,447.59 ล้านบาท รวมถึงรายการระหว่างธนาคารและตลาดเงินลดลง 1.4% มาอยู่ที่ 38,263.10 ล้านบาท
กำไรต่อหุ้นพื้นฐาน (Basic earnings per share) สำหรับไตรมาส 3/67 เท่ากับ 2.14 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 2.34 บาทต่อหุ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจาก 2.19 บาทต่อหุ้นในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) อยู่ที่ 16.6%
สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,199.47 ล้านบาท ลดลง 321.48 ล้านบาท หรือ 5.8% เมื่อเทียบช่วงกันในปีก่อนที่ 5,520.95 ล้านบาท หลักๆ เป็นผลมาจากการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.6% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย ตามแผนการเพิ่มสำรองกลับสู่ระดับปกติ พร้อมทั้งรองรับความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง
ขณะที่รายได้รวมจากการดำเนินงานอยู่ที่ 14,427.60 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 2.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 14,027.79 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 1.0% ตามการขยายตัวของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง ด้านรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 7.6% จากการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ
และผลกำไรจาก FVTPL ประกอบกับค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัว 2.7% ตามการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ทั้งนี้ ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยังคงชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด
สำหรับกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานสำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 67 เท่ากับ 6.49 บาทต่อหุ้น ลดลงจาก 6.90 บาทต่อหุ้นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อน และบริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย ในงวด 9 เดือนแรกปีนี้อยู่ที่ 16.5%