ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เปิดเผยถึงกรณีที่ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บอร์ดสปสช. อนุมัติวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ (aP) อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทองว่า การป้องกันโรคไอกรนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยการฉีดวัคซีนให้กับหญิงตั้งครรภ์
สถานการณ์โรคไอกรนในปี 2566 พบว่า มีการระบาดมากขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ และส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อในเด็กที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ขณะที่หญิงตั้งครรภ์นั้นปกติจะได้รับวัคซีนไอกรนรวมอยู่ในเข็มของการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยักและไอกรน ซึ่งอยู่ในสิทธิประโยชน์ของบัตรทองอยู่แล้วแต่ในการประชุมบอร์ดสปสช. เมื่อเดือนที่ผ่านมา
ทางกรมควบคุมโรคได้เสนอให้มีการจัดซื้อจัดหาวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์เพื่อฉีดในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่จำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนในกลุ่มเป้าหมาย
นพ.จเด็จ กล่าวว่า บอร์ดสปสช.ได้มีมติว่าเรื่องนี้มีความสำคัญและสอดคล้องกับนโยบายของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการให้มีเด็กเกิดในประเทศไทยมากขึ้นและเด็กจะต้องเกิดรอดแม่ปลอดภัย
ประกอบกับสถานการณ์ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันและควบคุมโรคจึงอนุมัติให้วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์บัตรทอง ภายใต้หลักการ 2 ข้อ คือ
1.ความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งปัจจุบันพบเด็กทารกเสียชีวิตจากการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
2.ความคุ้มค่า เนื่องจากเดิมวัคซีนไอกรนมีฉีดให้ในหญิงตั้งครรภ์อยู่แล้ว แต่เป็นแบบเข็มรวม
ส่วนวัคซีนตัวใหม่นี้เป็นชนิดไร้เซลล์ที่ฉีดเฉพาะโรคไอกรน และมีบริษัทผู้ผลิตอยู่ในประเทศไทย จึงเป็นการช่วยหนุนเสริมความมั่นคงด้านวัคซีนของประเทศ และเม็ดเงินเหล่านั้นก็จะหมุนเวียนอยู่ภายในประเทศด้วย
โดยการจัดซื้อวัคซีนไอกรนไร้เซลล์นั้นจะซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) โดยล็อตแรกจัดซื้อจำนวน 408,500 โดส เป็นเงิน 153 ล้านบาท ขณะที่เป้าหมายของการฉีดวัคซีนคือ หญิงตั้งครรภ์รวมถึงกลุ่มผู้ที่มีความจำเป็น
ส่วนการคำนวณปริมาณการจัดซื้อวัคซีน อ้างอิงโดยใช้ตัวเลขอัตราการเกิดใหม่รายปีเฉลี่ย 4-5 แสนคน ซึ่งหลังจากที่วัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์แล้วนั้น ทาง สปสช. ก็จะต้องตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อวัคซีนไอกรนนี้ในทุกปี
"หน่วยบริการสาธารณสุขของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยก็จะต้องฉีดวัคซีนไอกรนชนิดไร้เซลล์ให้หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ หรือคนท้องเองก็สามารถขอให้มีการฉีดได้
ทั้งนี้ ทางกรมควบคุมโรคจะต้องไปทำแผนการกระจายวัคซีนไปในพื้นที่ต่าง ๆ ให้มีความครอบคลุม เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการป้องกันและควบคุมโรคไอกรนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด" เลขาธิการ สปสช.กล่าว