วันที่ 7 เมษายน 2565 เวลา 10.30 น. สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษชยแห่งชาติ(กสม.) แถลงข่าวผลการพิจารณา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 27 จํากัดเสรีภาพการเสนอข่าวสารในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคโควิด 19 ที่ออกโดยศบค. ว่าเกินสมควรแก่เหตุ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้แทน 6 องค์กรวิชาชีพ สื่อมวลชน ได้แก่
สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าว นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย และสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2564
ขอให้ตรวจสอบกรณีที่นายกรัฐมนตรีประกาศใช้ ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 ข้อ 11 และ ข้อกําหนดฯ (ฉบับที่ 29) ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2564
ซึ่งระบุมาตรการเพื่อมิให้มีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันทําให้เกิดความเข้าใจผิด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19) และการเสนอข่าวที่อาจทําให้ ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดจนกระทบต่อ ความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ซึ่งผู้ร้องเห็นว่าการกระทํา ดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกของ ประชาชนและสื่อมวลชน จึงขอให้ตรวจสอบ นั้น
กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและมาตรฐานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 13/2555 เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2565 ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง บทบัญญัติของกฎหมาย และ หลักสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น
รวมทั้งเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็น ตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพของสื่อมวลชน ได้รับความคุ้มครองและรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 34 และ 35
สอดคล้องกับเสรีภาพในการแสดงออกซึ่งได้รับรอง ไว้ตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ 19 และแม้เสรีภาพในการแสดงออก อาจถูกจํากัดได้ตามกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชน แต่การจํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับหลักความจําเป็นและความได้สัดส่วน กล่าวคือ มาตรการ จํากัดเสรีภาพดังกล่าวจะต้องเป็นมาตรการที่เบาที่สุดเท่าที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายได้
ทั้งจะต้องมี ความสมเหตุสมผลกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ และหลักความได้สัดส่วนจะต้องปรากฏในกฎหมายและ ได้รับการบังคับใช้จากทั้งฝ่ายปกครองและฝ่ายตุลาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจํากัดการแสดงออกที่เป็น การวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นสาธารณะ (public debate) นักการเมืองและผู้นําสังคม
กสม. เห็นว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและออกข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 เพื่อแก้ไข สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งมีลักษณะเป็นการจํากัดเสรีภาพในการแสดงออก
รวมทั้ง เสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารของประชาชน มีข้อความของบทบัญญัติที่กว้างขวาง คลุมเครือ ไม่ชัดเจน และสามารถตีความไปได้หลายแบบตามความมุ่งหมายของผู้ใช้กฎหมาย โดยอาจมีการตีความได้ว่า การเสนอ ข่าวหรือการแสดงความคิดเห็นที่เป็นความจริง
แต่ทําให้ประชาชนหวาดกลัวก็ถือว่ามีความผิดได้ โดยที่มิได้ พิจารณาว่าข่าวนั้นเป็นความจริงหรือไม่ หรือเป็นข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะหรือไม่
นอกจากนี้ผู้บังคับ ใช้กฎหมายยังอาจตีความได้ว่า การเสนอข่าวหรือการแสดงความคิดเห็นที่เป็นความจริงแต่อาจทําให้ ประชาชนเกิดความหวาดกลัว และกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชนก็อาจเป็นความผิดได้ ลักษณะนี้จึงถือเป็นการจํากัดเสรีภาพที่ไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของ กฎหมายที่มุ่งหมายจะแก้ไขและยับยั้งเหตุฉุกเฉินจากการแพร่ระบาดของโรคเท่านั้น
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 เปรียบเทียบกับข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 29 ข้อ 1 แล้วเห็นได้ว่า มีข้อความเหมือนกัน ซึ่งภายหลังการบังคับใช้ข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 29 ได้ไม่นาน บริษัท รี่พอตเตอร์ โปรดักชั่น จํากัด กับพวกรวม 12 คน ได้ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้เพิกถอนข้อกําหนดดังกล่าว
พร้อมกับยื่นคําร้องขอไต่สวนคําร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉิน โดยศาลแพ่งมีความเห็นในตอน หนึ่งว่า “ข้อกําหนดที่ห้ามเผยแพร่ข้อความอันอาจทําให้เกิดความหวาดกลัว มิได้จํากัดเฉพาะข้อความอันเป็น เท็จดังเหตุผลและความจําเป็นตามที่ระบุไว้ในการออกข้อกําหนด ย่อมเป็นการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของ โจทก์ทั้งสิบสองและประชาชน
ทั้งข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวตามข้อกําหนด ดังกล่าวมีลักษณะไม่แน่ชัดและขอบเขตกว้าง ทําให้โจทก์ทั้งสิบสอง ประชาชนและผู้ประกอบวิชาชีพ สื่อมวลชนไม่มั่นใจในการแสดงความคิดเห็นและสื่อสารตามที่รัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา 34 วรรคหนึ่งและ มาตรา 35 วรรคหนึ่ง คุ้มครองไว้”
และศาลแพ่งมีคําสั่งเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ห้ามนายกรัฐมนตรี ในฐานะจําเลยดําเนินการบังคับใช้ข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 29 เป็นการชั่วคราว หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีจึง ออกข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 31 ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2564 ยกเลิกข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 29 กสม.
จึงเห็นควรยุติ การตรวจสอบในประเด็นของข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 29 นี้ อย่างไรก็ดี คําพิพากษาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การบังคับใช้ข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 ซึ่งมีข้อความเช่นเดียวกับข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 29 ข้อ 1 ย่อมส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพในการเสนอข่าวสารของผู้ร้องทั้งหกและ ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น แม้ผู้ถูกร้องโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหาร สถานการณ์โควิด-19 จะไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและเสนอพยานหลักฐานตามที่ กสม. ได้ร้องขอ ซึ่งเป็น ขั้นตอนการให้โอกาสในการชี้แจงแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วย กสม.
แต่พยานหลักฐานที่ ปรากฏในชั้นตรวจสอบก็เพียงพอที่ กสม. จะพิจารณาและมีความเห็นเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิด จากการใช้บังคับข้อกําหนดฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 และแม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีบุคคลใดถูกดําเนินคดีอาญา
จากการใช้บังคับข้อกําหนด ฯ ดังกล่าว แต่จากเหตุผลที่ได้กล่าวมาในชั้นต้น ย่อมเห็นได้ว่าข้อกําหนด ฯ ฉบับที่ 27 ข้อ 11 กระทบต่อเสรีภาพในการเสนอข้อมูลข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และสื่อมวลชนเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม.
จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะ มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด - 19 (ศปก.ศบค.) ดังนี้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กล่าวอีกว่า สำหรับขั้นตอนจากนี้จะมีการส่งรายงานของกสม. ศปก.ศบค. ซึ่งมีเวลาในการยกเลิกประกาศฉบับที่ 27 ข้อ 11 ดังกล่าวภายใน 60 วัน และกสม.จะยังติดตามผลักดันเรื่องนี้ต่อเพราะในรายงานระบุแล้วว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน