กรณีสำนักงานอัยการสูงสุด ส่งมอบตัว "ผู้ร้ายข้ามแดน" รายสำคัญ ในคดีทุจริตจ่ายเงิน ส.ว.ให้ทางการสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 1 ก.ย.65 ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องหาทั้งสองได้หลบหนีมากบกานที่ประเทศไทย โดยถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดฐานร่วมกันทุจริตให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐในต่างประเทศ และร่วมกันฟอกเงิน ตามกฎหมายอาญาของสหรัฐอเมริกา พฤติการณ์คือ มีการจ่ายสินบนให้สมาชิกวุฒิสภาของประเทศหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิก เพื่อให้ออกกฎหมายเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตน
ถือว่าเป็นคดีแรกของสหรัฐอเมริกาและไทย ที่มีการพิจารณาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ในข้อหาทุจริตให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐต่างประเทศในดินแดนต่างประเทศ ซึ่งเป็นไปตามหลักการและเจตนารมณ์ของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003(United Nations Convention against Corruption 2003 (UNCAC)) ที่ทั้งไทยและสหรัฐอเมริกาต่างก็เป็นรัฐภาคี
อนุสัญญาฯ นี้ ถือว่าเป็นอนุสัญญาต่อต้านการทุจริตระหว่างประเทศฉบับแรกที่ครอบคลุมประเทศต่างๆ ทั่วโลก มีสาระสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น การส่งผู้ร้ายข้ามแดน การช่วยเหลือทางกฎหมาย และการสืบสวนสอบสวนร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม หลายคดีเกี่ยวกับข่าวการหนีออกนอกประเทศของบุคคลสำคัญที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีต่างๆ อาจทำให้หลายคนสงสัย “การส่งผู้ร้ายข้ามแดน” โดยเฉพาะระหว่างประเทศไทยและสหรัฐฯ เพราะคดีที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการส่งผู้ร้ายข้ามแดนคดีที่อยู่ในความสนใจของสหรัฐอเมริกา
“ฐานเศรษฐกิจ” ขอพาไปดูดังนั้นขั้นตอนการส่ง "ผู้ร้ายข้ามแดน" จึงเป็นเรื่องที่ต้องรู้ไว้ โดยเฉพาะระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา
“ผู้ร้ายข้ามแดน” คือใคร
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการประสานส่งตัวคนร้ายข้ามแดน
ข้อยกเว้นของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
สำหรับหลักเกณฑ์การส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามกฎหมายไทยตาม พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ.2551 ซึ่งถือเป็นกฎหมายหลักเกี่ยวกับการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในปัจจุบัน โดยหลักการทั่วไปในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ต้องเป็นความผิดอาญาของทั้ง 2 ประเทศ
ไม่เข้าลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น
ต้องไม่เป็นการพิจารณาคดีซ้ำ
นอกจากพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นกฎหมายภายในแล้ว ประเทศไทยยังมี สนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนในระดับทวิภาคี (ExtraditionTreaty) กับประเทศต่างๆ โดยมีทั้งกรณีที่เป็นสนธิสัญญา ส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ประเทศนั้น ๆ มีความตกลงกับประเทศไทย และสนธิสัญญา ส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ประเทศนั้น ๆ มีการสืบสิทธิจากประเทศสหราชอาณาจักรรวม 14 ประเทศ
ได้แก่ ประเทศสหราชอาณาจักร ประเทศเบลเยียม ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย ประเทศมาเลเซีย ประเทศฟิจิ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ประเทศลาว ประเทศบังกลาเทศ และประเทศกัมพูชา
ขณะเดียวกันประเทศไทยยังมีสนธิสัญญาว่าด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญา (Treaty on MutualAssistance in Criminal Matters) กับประเทศต่าง ๆ รวม 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศสหราชอาณาจักร ประเทศฝรั่งเศส ประเทศนอร์เวย์ และประเทศอินเดีย
เมื่อมาตรวจสอบ พระราชบัญญัติว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2533 ระบุสอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 ในประเด็นความผิดที่จะไม่มีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ได้แก่ ความผิดทางการเมืองและทางทหาร ความผิดที่ขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นความผิดทางทหารโดยเฉพาะ การปลงชีวิตหรือการกระทำความผิดโดย เจตนาต่อชีวิตหรือต่อร่างกายของประมุขแห่งรัฐของภาคีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งหรือของสมาชิกใน ครอบครัวของบุคคลนั้น รวมทั้งการพยายามกระทำความผิดดังกล่าวไม่ให้ถือว่าเป็นความผิด
เเต่มีเพิ่มเติมในประเด็นที่เกี่ยวกับ รัฐที่ได้รับการร้องขออาจปฏิเสธการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ถูกขอให้ส่งตัวสำหรับความผิดที่ถือว่าได้กระทำทั้งหมดหรือบางส่วนในประเทศของตน หรือในสถานที่ที่ถือเหมือนเป็นประเทศของตน โดยรัฐที่ได้รับการร้องขอจะต้องดำเนินคดีต่อบุคคลสำหรับความผิดนั้นตามกฎหมายของตน
การวินิจฉัยและการส่งมอบตัวผู้ร้ายข้ามแดน