วันนี้ (29 พ.ค. 66) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เข้าให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กรณีขอให้ตรวจสอบ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี กรณีการถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น
นายเรืองไกร กล่าวว่า นอกจากมาให้ถ้อยคำ จะยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเป็นคำวินิจฉัยของศาลธรรมนูญที่ 20/2563 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ในขณะนั้น มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัคร ส.ส. เนื่องจากถือครองหุ้นสื่อเป็นเหตุให้สมาชิกภาพความเป็นส.ส.สิ้นสุดลง
โดยศาลให้มีผลนับแต่วันสมัคร ส.ส. คือ วันที่ 6 ก.พ. 2562 เนื่องจากเห็นว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลดังกล่าว ยึดตามตัวบทกฎหมายเพียงว่า นายธัญญ์วาริน ถือหุ้นหรือไม่ และบริษัทยังประกอบกิจการ หรือ มีความสามารถที่จะกลับมาประกอบกิจการได้หรือไม่ โดยไม่ได้มีการวางหลักว่าต้องถือมากน้อยแค่ไหน
ทั้งนี้ นายธัญญ์วาริน ถือหุ้นอยู่ใน 2 กิจการ ต่างจากนายพิธา ที่ถือหุ้นไอทีวี แต่ต่อมาในปี 2564 กกต.ได้ยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้มาวินิจฉัยผู้สมัคร ส.ส. ที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส. จากการเลือกตั้ง เมื่อปี 2562 รวม 4 คำวินิจฉัย โดยมีการสั่งดำเนินคดีอาญาด้วย
ทำให้เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริง นายพิธา ถือหุ้นไอทีวี ตั้งแต่ปี 2551 และปี 2562 นายพิธา เป็นผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่ หากวันนี้กกต.จะวินิจฉัยเรื่องการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา ก็ต้องยึดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของกกต.
โดยจะต้องย้อนไปพิจารณาว่า การถือหุ้นไอทีวีดังกล่าวของนายพิธา ก่อนปี 2562 และถือต่อเนื่องมานั้น เป็นเหตุให้ นายพิธา สิ้นสมาชิกภาพการเป็นส.ส. ปี 2562 โดยต้องมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่นายพิธา ยื่นสมัครคือวันที่ 6 ก.พ.ใช่หรือไม่
"การที่ นายพิธา ได้มาเป็น ส.ส. มีการโหวตกฎหมายต่างๆ ไป ไม่ได้มีผลทำให้กฎหมายเหล่านั้นต้องเสียไป แต่เงินประจำตำแหน่ง หรือ เงินเพิ่มผู้ช่วยผู้ชำนาญการรวมอีก 8 คน อาจจะมีปัญหาได้ จากข้อเท็จจริงนี้จำเป็นที่ กกต.จะต้องย้อนกลับไปตรวจสอบ คุณพิธา เมื่อปี 2562 ว่าสิ้นสมาชิกภาพส.ส.หรือไม่ โดยอ้างอิงคำวินิจฉัยของกกต.ที่ 1-4 /2564 และ 9/2564 ที่ลงนามโดยนายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต.เอง"
เมื่อถามว่ายื่นตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพของนายพิธา เมื่อปี 2562 ด้วยหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า ถือเป็นการกระทำ 2 กรรม เมื่อพบว่า นายพิธา ยังคงถือหุ้นบริษัทไอทีวี ในการสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2566 และในฐานะหัวหน้าพรรคที่เซ็นรับรองผู้สมัคร ส.ส. เขตเกือบ 400 เขต และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน
จึงขอให้วินิจฉัยว่า นายพิธา มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 (3) ในฐานะผู้สมัคร ส.ส.หรือไม่ และในฐานะผู้ยินยอมให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี จึงนำมาตรา 98 มาบังคับใช้ด้วย
ส่วนที่นักวิชาการหญิงรายหนึ่งแสดงความคิดเห็นผ่านรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งในลักษณะว่าไม่มีปัญหา เมื่อขายหุ้นเรื่องก็จบ ตนเห็นว่า เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก และจะทำให้สังคมเข้าใจผิดไปด้วย เพราะหากผิดก็ผิดตั้งแต่วันลงสมัครรับเลือกตั้ง
“ผมได้เก็บรวบรวมข้อมูลที่มีการเผยแพร่เรื่องผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ทั้งนี้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 23 และ มาตรา 24 บังคับครอบคลุมไปถึงบัญชีนายรัฐมนตรีด้วย ต่อให้ได้ 376 เสียง ผมก็เห็นว่า ขาดคุณสมบัติและหากได้รับเลือกเป็นนายกฯ ผมก็จะร้องเรียน อาจจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ จึงอยากให้ทั้งนักกฎหมาย ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ไปทำความเข้าใจข้อกฎหมายอย่างถ่องแท้ อ่านกฎหมายให้แม่นๆ”
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า นอกจากร้อง กกต.โดยตรงตอนนี้แล้ว เมื่อ กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งแล้ว ก็จะไปขอร้องให้ ส.ส. และ ส.ว. หรือสมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อส่งคำร้องให้ตรวจสอบคู่ขนานไปกับการตรวจสอบของ กกต. ตามแนวทางที่เคยยื่นคำร้องให้ตรวจสอบสมาชิกภาพ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551 จน นายสมัคร พ้นจากนายกฯ เพราะคำพิพากษาว่าเป็นลูกจ้าง จากหลักฐานใบหักภาษี ภงด.3 ไม่ได้ยึดตามพจนานุกรม
เช่นเดียวกับกรณีของ นายพิธา ก็มีหลักฐานเป็นใบ บมจ.6 ตามพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด จึงสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นหลักฐานที่ถูกต้อง ซึ่ง กกต.ควรจะต้องนำไปประกอบการพิจารณา ส่วนผู้วินิจฉัยคือ ศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าขณะนี้ประเทศกำลังเดินหน้าการมายื่นร้องคัดค้านจะทำให้การเดินหน้าสะดุดหรือไม่ นายเรืองไกร กล่าวว่า เป็นคนละประเด็นกัน ประเทศเดินหน้าก็เดินหน้าไป ส่วนคนที่ทำผิด หรือ เข้าข่ายถูกตรวจสอบก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย
นายเรืองไกร ยังกล่าวอีกว่า วันนี้มาให้ถ้อยคำต่อ กกต.เป็นครั้งแรก แต่ได้ยื่นเอกสารเรื่องดังกล่าว 6 ครั้ง และยังมีเอกสารเพิ่มเติมอีก คือ คำสั่งศาลปกครองและมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ บริษัท ไอทีวี และการรายงานสถานการณ์จนถึงปี 2564 ทั้งนี้ นายเรืองไกล ได้พยายามยื่นหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่า บริษัทไอทีวี ยังดำเนินการกิจการอยู่