“จตุพร” ชี้ “ยิ่งลักษณ์” กลับไทยวันที่ “เศรษฐา” ไม่ได้เป็นนายกฯ

05 มี.ค. 2567 | 02:45 น.
อัปเดตล่าสุด :05 มี.ค. 2567 | 02:45 น.

“จตุพร” ชี้ “ยิ่งลักษณ์” กลับไทยวันที่ “เศรษฐา” ไม่ได้เป็นนายกฯ ระบุจะกลับบ้านเมื่อใดย่อมดำเนินการไปตามรูปแบบการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตรที่มีการขออภัยโทษในคดีที่มีโทษเหลืออยู่

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊คไลฟ์ว่า เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมืองยกฟ้องยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วยมติเอกฉันท์ พร้อมถอนหมายจับในคดีโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย ย่อมแสดงถึงสัญญาณจะได้กลับไทยเร็วขึ้น

ทั้งนี้ แม้ยิ่งลักษณ์พ้นโทษในคดีโรดโชว์แล้ว แต่ยังมีโทษจำคุก 5 ปีและหมายจับในคดีจำนำข้าวที่สิ้นสุดแล้ว ดังนั้น การจะกลับบ้านเมื่อใด ย่อมดำเนินการไปตามรูปแบบการกลับบ้านของทักษิณ ชินวัตร คือ ขออภัยโทษในคดีที่มีโทษเหลืออยู่ และที่สำคัญต้องไม่กลับในวันที่นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ

“หากทักษิณกลับบ้านและทำอย่างตรงไปตรงมาแล้ว ยิ่งลักษณ์จะกลับบ้านได้ง่ายที่สุด ไม่ต้องถูกสังคมจับตาทุกการเคลื่อนไหว แต่ถึงที่สุดจะทำเหมือนทักษิณทุกอย่างไม่ได้เลย จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจ”

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ทักษิณเลือกกลับไทยในช่วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ และยังเป็นผู้ทำรัฐประหารรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วย แล้วยังเสนอขอพระราชทานอภัยลดโทษเหลือหนึ่งปี ซึ่งเป็นสิ่งผิดปกติ และคาดกันว่าเป็นข้อตกลงที่ทำกันไว้

“เมื่อรูปแบบกลับบ้านของทักษิณ ไม่ดำเนินไปในช่วงนายเศรษฐา เป็นนายกฯ แล้ว การกลับบ้านของยิ่งลักษณ์ ย่อมไม่กลับในวันที่นายเศรษฐาเป็นนายกฯ เช่นกัน เพราะรูปแบบจะออกมาตามดีล หากผิดดีลแล้วหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่ รพ.ตำรวจ คงปลิวว่อนออกมาประจานสาธารณะเป็นแน่”

นายจตุพร กล่าวว่า การเปลี่ยนนายกฯ จากนายเศรษฐานั้น ต้องพิจารณาจากการได้เป็นนายกฯ จึงเข้าใจได้ชัดเจน เพราะหลังเลือกตั้งนายเศรษฐา แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในผลคะแนนเสียงเลือกให้เป็นนายกฯ เลย นอกจากนี้การแถลงหาเสียงทุกคำประกาศยังเบี้ยวประชาชนหมดแล้วมาตั้งรัฐบาลกับฝ่ายยึดอำนาจ ดังนั้น การมาเป็นนายกฯ จึงหลีกหนีจากการดีลกันไว้แทบไร้ข้อสงสัย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่พบการเบี้ยวดีล แต่ไม่ได้หมายความว่า การเบี้ยวจะไม่เกิดขึ้น

"สิ่งสำคัญประชาชนต้องการรัฐบาลที่คิดเรื่องชาติบ้านเมืองและกล้าที่จะเปลี่ยน แต่รัฐบาลภายใต้การฮั้วอำนาจและสมยอมกันแบบนี้ไม่ได้ผลอะไรกับการเปลี่ยนแปลงให้บ้านเมืองไปในทางที่ดีขึ้น"