ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง “ชาญชัย” คดีคิง เพาเวอร์ ฟ้องหมิ่นประมาท

17 ส.ค. 2567 | 12:55 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ส.ค. 2567 | 01:31 น.

ศาลอุทธรณ์ ยกฟ้อง “ชาญชัย อิสระเสนารักษ์" คดีคิง เพาเวอร์ ฟ้องหมิ่นประมาท ย้ำสิ่งที่เคยแถลงข่าวเป็นข้อเท็จจริง ติชมโดยสุจริต ทั้งเตรียมใช้สิทธิ์ฟ้องกลับ

วันนี้(วันที่ 17 ส.ค. 2567)  นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า  เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณาที่ 505 ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ ศาลอุทธรณ์ได้นัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 

  • โจทก์ที่ 1 ,บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด
  • โจทก์ที่ 2 , บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด
  • โจทก์ที่ 3 ร่วมฟ้องตนในคดีหมิ่นประมาท 

โดยเป็นคดีที่ 13 โดยศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาสั่งยกฟ้อง ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ หน้าที่ 36 -40 

โดยตนในฐานะเป็นจำเลยที่ 2 ว่า ตนได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมาธิการวิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) มีอำนาจหน้าที่ศึกษาการป้องกันและปราบปราม 

ทั้งข้อกฎหมายและพฤติกรรมของแต่ละโครงการที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบโครงการที่เกี่ยวกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กับกลุ่ม บริษัท คิงเพาเวอร์ โดยตรวจสอบใน 2 สัญญา คือ 

  1. สัญญาโครงการเชิงพาณิชย์
  2.  สัญญาร้านค้าปลอดอากร

หลังศึกษาเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวแล้ว จึงให้สัมภาษณ์ทางสื่อ กระทั่งถูกกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ฟ้องหมิ่นประมาทหลายคดีรวมทั้งคดีนี้ด้วย

เช่นเดียวกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 2683-2684 / 2561 ที่มีข้อความ และเนื้อหาเช่นเดียวกับคดีนี้เพียงแต่เป็นคนละวันเวลากัน  ซึ่งศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องทั้งสามศาล

โดยวินิจฉัยว่าการให้สัมภาษณ์ของนายชาญชัยไม่ใช่เรื่องที่กล่าวอ้างโดยไม่มีเหตุผล ไม่มีพยานหลักฐาน หรือกล่าวอ้างขึ้นลอยๆแต่อย่างใด  แต่เป็นเรื่องที่มีพยานหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงแน่ชัด

จนกระทั่งในที่สุดบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ต้องมีหนังสือแจ้งให้โจทก์ที่ 2 และ 3 ทราบว่า สัญญาที่ทำกันไว้นั้นไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ)

จึงไม่มีผลผูกพันเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 และ 3 ยื่นฟ้อง ทอท. ต่อศาลแพ่ง ซึ่งในคำฟ้องดังกล่าว โจทก์ที่ 2 และ 3 ยอมรับว่า การลงทุนในแต่ละโครงการมากกว่า 1,000 ล้านบาท ตามที่สำนักงานผู้การแผ่นดินตรวจสอบ

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ยังระบุตามคำพิพากษาศาลต่อว่า  ส่วนการแก้ไขสัญญาเกี่ยวกับเรื่องค่าตอบแทนสำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แจ้งผลการตรวจสอบให้ ทอท. ว่าต้องได้ค่าตอบแทนอัตรา 15 % ของราคาขาย ไม่ใช่อัตรา 3 % ของค่าบริการ

แสดงให้เห็นว่า ข้อความที่นายชาญชัยให้สัมภาษณ์สื่อเป็นข้อเท็จจริงที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องที่นายชาญชัยปั้นแต่งขึ้นมาเพียงเพื่อจะกลั่นแกล้งกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ทั้ง 3 บริษัท ให้ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด 

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ ล้วนเป็นเหตุผลให้นายชาญชัยเชื่อโดยสุจริตใจว่า สิ่งที่นายชาญชัยให้สัมภาษณ์เป็นความจริงทั้งสิ้นที่สำคัญกว่านั้นคือ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะอาจเกิดความเสียหายขึ้นต่อส่วนรวม 

ในฐานะ ทอท. เดิมเป็นรัฐวิสาหกิจภายหลังได้แปรสภาพมาเป็นบริษัทมหาชนจำกัด มีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หากมีความเสียหายเกิดขึ้นก็เท่ากับ หน่วยงานของรัฐหรือประเทศชาติได้รับความเสียหายไปด้วยการร่วมกันรักษาปกป้องประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติย่อมเป็นหน้าที่ของประชาชนพลเมืองดีโดยทั่วไป 

จึงมีเหตุทำให้นายชาญชัยเชื่อได้ว่า โจทก์ทั้งสามบริษัทมีส่วนร่วมกระทำการในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ด้วย อยู่ในวิสัยที่ประชาชนทั่วไปจะติชมด้วยความเป็นธรรมได้เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตน หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามครองธรรม

ทั้งยังเป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนโดยทั่วไปย่อมจะกระทำ  ดังนั้นการกระทำของจำเลย (นายชาญชัย) จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสามบริษัท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (1) (3) ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามมานั้น ชอบแล้ว

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามจึงฟังไม่ขึ้น สำหรับอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสามในข้ออื่น ๆ นั้น ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยเพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา จึงไม่รับวินิจฉัย ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

ด้วยกรณีดังกล่าว กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ จงใจฟ้องปิดปากผม และเมื่อศาลฎีกาสั่งยกฟ้องไป 11 คดีแล้ว ผมก็เห็นว่าโจทก์ทั้งสามได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ที่ระบุว่า ‘ผู้ใดเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นว่า กระทำผิดความผิดอาญา ต้องมีโทษทางอาญาจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

โดยเป็นการนำข้อมูลเดียวกัน มาฟ้องซ้ำเพื่อกลั่นแกล้งให้ผมถูกลงโทษและได้รับความเสียหาย ทั้งยังกระทบสิทธิ ตามที่กฎหมายคุ้มครอง อีกทั้งข้อเท็จจริงทั้งหมดที่นำมาฟ้อง  โจทก์ได้ร่วมกระทำความผิดก่อให้เกิดความเสียหายต่อสาธารณะและประเทศชาติ 

ผมจึงขอใช้สิทธิตามกฎหมายฟ้องกลับทุกกรณี เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้การใช้สิทธิปกป้องสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ย่อมได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย นายชาญชัย กล่าว