ทั้งนี้บริษัทให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย เช่น ไทย เดนมาร์ค, เนสท์เล่, FrieslandCampina, Vinamilk, Indomilk, Ultrajaya, Parle Agro, Amul เป็นต้น
ถือเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่นำการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงาน ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 โดยเอสไอจี ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยมลพิษจากการปฏิบัติงานลง 42% และลดการปล่อยมลพิษจากห่วงโซ่คุณค่า และการดำเนินงานลง 51.6% ภายในปี 2573 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
แอนเจลา ลู ประธานและผู้จัดการทั่วไปของเอส ไอ จี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใต้ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินงานว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้นในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ที่มีช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เอสไอจี จึงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม และความยั่งยืนในบรรจุภัณฑ์ จากการใช้พลังงานหมุนเวียนในกระบวนการผลิตที่ต้นทาง
รวมถึงเลือกสรรวัตถุดิบในการผลิตบรรจุภัณฑ์ อย่างเช่น บรรจุภัณฑ์แบบกล่องของเอสไอจี ที่ทำจากวัตถุดิบจากแหล่งที่มาที่มีความรับผิดชอบ และเป็นบริษัทบรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องรายแรกของโลก ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Chain of Custody (CoC) จากองค์กรพิทักษ์ป่าไม้ (Forest Stewardship Council (FSC)) และอลูมิเนียมที่ได้รับการรับรองจาก Aluminium Stewardship Initiative (ASI) (เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรและมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายซึ่งมีหน้าที่ดูแลโปรแกรมการรับรองอิสระจากบุคคลที่สามสำหรับห่วงโซ่คุณค่าอลูมิเนียม)
นอกจากนี้ เอสไอจียังเป็นรายแรกในอุตสาหกรรมที่ผลิตบรรจุภัณฑ์ จากวัสดุกระดาษแข็งที่ผ่านการจัดหาอย่างตระหนักต่อความรับผิดชอบที่ได้รับการรับรอง 100% จาก FSC (Forest Stewardship Council) และเป็นวัสดุที่มีแหล่งที่มีมาตรฐาน FSC และมาจากป่าที่ได้รับการรับรอง FSC โดยมีปริมาณคาร์บอนน้อยกว่าวัสดุมาตรฐานของเอสไอจีถึง 58%
ปัจจุบันเอสไอจี ได้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีเครื่องบรรจุของเหลวปลอดเชื้อ SIG Neo Vita 18 เป็นเครื่องบรรจุของเหลวที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับบรรจุของเหลวขนาดครอบครัว สูงสุดถึง 18,000 ชิ้นต่อชั่วโมง มีเทคโนโลยีในการฆ่าเชื้อที่ดีที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องในระดับเดียวกันและยังใช้ทรัพยากรลดลงอีกด้วย ช่วยลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 25% เมื่อเทียบกับเครื่องบรรจุขนาดครอบครัวรุ่นปัจจุบันของเอสไอจี
ทั้งนี้ เอสไอจีมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้บรรจุภัณฑ์ทำมาจากวัสดุหมุนเวียน ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ โดยได้พัฒนานวัตกรรมด้านวัสดุบรรจุภัณฑ์ปลอดเชื้อที่สามารถปกป้องได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีชั้นวัสดุที่ผลิตจากอะลูมิเนียม (aluminum layer-free) ซึ่งนวัตกรรมนี้จะเป็นอนาคตของบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากโซลูชันนี้ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นลงได้อย่างมากเมื่อเทียบกับวัสดุในการบรรจุภัณฑ์ปลอดเชื้อในระดับมาตรฐานทั่วไป
เครื่องบรรจุของเหลวปลอดเชื้อทั้งหมดของ เอสไอจี มีอัตราการผลิตของเสียต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม คือ น้อยกว่า 0.5% และมีเป้าหมายลดอัตราส่วนการเกิดของเสียระหว่างการบรรจุอาหารและเครื่องดื่มของเครื่องจักรให้เหลือต่ำกว่า 0.3% ภายในปี 2573
นอกจากนี้เอสไอจี ยังได้ขยายประเภทบรรจุผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมในตลาดเอเชียมากขึ้น เช่น บรรจุภัณฑ์แบกอินบ๊อก (Bag in Box) บรรจุภัณฑ์แบบถุง/ซองพร้อมฝา (spouted pouch) และกล่องแช่เย็น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าของเอสไอจีในภูมิภาคนี้มีโอกาสมากขึ้นในการเพิ่มยอดขาย
“ความยืดหยุ่นเป็นสิ่งที่อยู่ในดีเอ็นเอของเอสไอจี เทคโนโลยีการบรรจุจากด้านบนที่ไม่เหมือนใคร จะช่วยให้ลูกค้ามีทางเลือกในการผลิตบรรจุภัณฑ์ทั้งด้านปริมาณและรูปทรงตามที่ต้องการ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค”
ด้วยการดำเนินงานของเอสไอจี เป็นสร้างบรรจุภัณฑ์เพื่อ “สิ่งที่ดีกว่า” และพัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยการกำหนดเป้าหมายลดคาร์บอนฟุตพริ้น จากการดำเนินการออกเป็น 4 ส่วนที่เชื่อมโยงกัน ได้แก่ Climate+, Forest+, Resource+ และ Food+
ล่าสุดเอสไอจีได้รับการอนุมัติเป้าหมายของกลุ่มบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยอิงกับเป้าหมายบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จากโครงการริเริ่มเป้าหมายที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science Based Targets initiative :SBTi) จากบริษัทกว่า 2,000 แห่งทั่วโลกที่มีเป้าหมายคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ เอสไอจี เป็นหนึ่งใน 325 บริษัทแรกที่ได้รับการตรวจสอบเป้าหมายโดย SBTi ซึ่งเป็นความมุ่งมั่นที่ท้าทายที่สุดที่ดำเนินการผ่านกระบวนการ SBTi
ด้วยกระบวนการผลิตที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน จากการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน 100% โดยการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงงาน ขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทย สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ 5,675 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 12,871 ตันต่อปี
“เอสไอจีมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้อยู่ในระดับพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์กำหนด เพื่อ สนับสนุนแนวทางจำกัดการลดภาวะโลกร้อนที่ 1.5°C ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนด้านการเป็นศูนย์สุทธิภายในปี 2593 เป็นอย่างช้าที่สุด”