ผ่านโยบายปชป. ดึงเงิน กบข. สำรองเลี้ยงชีพ 3 แสนล้าน อุ้มชนชั้นกลาง

10 เม.ย. 2566 | 10:41 น.
อัปเดตล่าสุด :10 เม.ย. 2566 | 10:50 น.

เปิดนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ดึงเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กว่า 3 แสนล้านบาท ปลดล็อกสมาชิกดึงมาใช้ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน ได้ 30% อุ้มชนชั้นกลาง

ดร.พิสิฐ ลี้อาธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบาย พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยเงิน 1 ล้านล้านบาท หนึ่งในนั้นคือมาตรการเข้าไปช่วยชนชั้นกลางด้วยการปลดล็อคให้สมาชิกของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

โดยสามารถนำเงินกองทุนไม่เกิน 30% ไปซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน หรือลดภาระหนี้ที่อยู่อาศัยได้ โดยมีวงเงินรวมกันประมาณ 3 แสนล้านบาท

ปลดล็อกเงินกองทุน กบข.

วงเงินก้อนแรก 1 แสนล้านบาท มาจากการปลดล็อกเงิน กบข. เพราะจากการสำรวจข้อมูลพบว่า มีจำนวนข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข. กว่า 1.2 ล้านคน มีเงินวงเงินเก็บอยู่ภายใต้กองทุนเกือบ 5 แสนล้านบาท แต่ไม่สามารถนำเงินมาใช้ได้ก่อนเกษียณอายุ โดยเฉพาะการซื้อบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิต

ดังนั้นพรรคจึงเสนอให้ปลดล็อกให้ข้าราชการนำเงินกองทุน กบข. 30% มาใช้ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน และลดหนี้บ้านได้

ดร.พิสิฐ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เคยเสนอร่าง พ.ร.บ.กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อเปิดทางให้สามารถทำเรื่องดังกล่าวได้ แต่ยังไม่สามารถผลักดันจนเสร็จสิ้นได้ จนในที่สุดก็ยุบสภาเสียก่อน แต่อย่างไรก็ดีหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าไปเป็นรัฐบาลก็พร้อมจะผลักดันกฎหมายฉบับนี้ต่อไป 

 

พรรคประชาธิปัตย์ ประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

ปลดล็อกเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

ส่วนวงเงินอีกก้อนจำนวน 2 แสนล้านบาท มาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ซึ่งเป็นเงินของภาคเอกชน ปัจจุบันมีข้อมูลลูกจ้างในระบบกว่า 3 ล้านคน ที่เป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีเงินรวมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ที่ผ่านมาเงินกองทุนนี้ถูกล็อกไว้ในลักษณะเดียวกับ กบข. ให้ลงทุนได้เฉพาะตราสารหนี้ในตลาดเงินตลาดทุน โดยในช่วงที่ผ่านมาสมาชิกได้รับความเสียหายจากการนำเงินกองทุนไปลงทุนแล้วขาดทุนจำนวนมาก 

ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาธิปัตย์ จึงมีนโยบายที่จะปลดล็อกให้สมาชิกที่เป็นพนักงานบริษัทสามารถนำเงินจากกองทุนในสัดส่วน 30% ใช้ซื้อบ้าน ผ่อนบ้าน และลดหนี้บ้านเหมือนกับกลุ่มข้าราชการ คาดว่าจะมีเงินที่ดึงออกมาจากกองทุนเพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ได้ถึง 4 แสนล้านบาท แต่ในเบื้องต้นมองเอาไว้แค่ครึ่งเดียวก่อนคือ 2 แสนล้านบาท

“เงินทั้งสองกองทุนนี้ กว่า 3 แสนล้านบาท ไม่ได้ไปใช้งบประมาณ หรือเงินกู้เลย แต่เป็นการปลดล็อกให้คนทั้งสองกลุ่มมีความคล่องตัวแล้วเศรษฐกิจจะสามารถขับเคลื่อนไปได้ จากการซื้อบ้าน ขายบ้าน คนสร้างบ้านก็ได้เงินช่างก่อสร้าง ช่างปูน ช่างทาสีก็มีงานทำ คนขายวัสดุก่อสร้างก็ขายของได้”

ดร.พิสิฐ กล่าวว่า วิธีนี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับคนไทยได้มาก และเมื่อถึงเวลาเกษียณอายุก็ยังสามารถขายบ้านจากหลังใหญ่ไปบ้านหลังเล็กในต่างจังหวัดได้ ทำให้มีเงินที่เก็บไว้ใช้ในยามชราเพิ่มเติม จากส่วนต่างราคาบ้านที่มีราคาเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย