ทำความรู้จัก "โจ ไบเดน" ประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 46

07 พ.ย. 2563 | 21:00 น.
อัปเดตล่าสุด :08 พ.ย. 2563 | 06:48 น.

ทำความรู้จัก "โจ ไบเดน"(Joe Biden) ผู้ชนะเลือกตั้งสหรัฐ คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46 ทั้งประวัติ เส้นทางการเมือง แนวคิดนโยบายในการบริหารประเทศ

การเลือกตั้งสหรัฐ 2020 ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลคะแนนออกมาชัดเจนแล้วว่า "โจ ไบเดน"(Joe Biden) ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ได้รับคะแนนเสียง Electoral Vote เกินกว่ากึ่งหนึ่งหรือ 270 คะแนน จากทั้งหมด 538 คะแนน ทำให้ "โจ ไบเดน" เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คนที่ 46 โดยผลคะแนน  Electoral Vote ของโจ เบนเดน ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 เวลา 00.55 ตามเวลาประทศไทย อยู่ที่ 290 คะแนน ขณะที่โดนัลด์ ทรัปม์ อยู่ที่ 214 คะแนน

 

“ฐานเศรษฐกิจ”   จึงขอพาไปรู้จักกับ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46

 

โจ ไบเดน(Joe Biden) มีชื่อเต็มว่า โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดิน จูเนียร์ (อังกฤษ: Joseph Robinette Biden, Jr.) เป็นนักการเมืองชาวอเมริกัน ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ระหว่าง พ.ศ. 2552 ถึง 2560 เป็นสมาชิกวุฒิสภาจากรัฐเดลาแวร์เจ็ดสมัยติดต่อกัน ระหว่าง พ.ศ. 2515 ถึง 2552 สังกัดพรรคเดโมแครต, ไบเดนเป็นผู้แทนของพรรคชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ พ.ศ. 2563 แข่งกับดอนัลด์ ทรัมป์ โดยก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นผู้แทนพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐใน พ.ศ. 2531 และ พ.ศ. 2551 แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง

 

โจ ไบเดน เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1942 ในเมืองสแคนตัน รัฐเพนซิลวาเนีย พ่อแม่ของไบเดนอพยพครอบครัวไปอยู่ที่เดลาแวร์ตั้งแต่เขาอายุ 10 ขวบ  ความลำบากของชีวิตวัยเด็กที่ปากกัดตีนถีบ ทำงานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ หาเงิน ทำให้เขามีความอดทน มุมานะ และทะเยอทะนานต้องการให้ชีวิตดีขึ้น เขาสนใจการเมืองตั้งแต่เด็กโดยมีจอห์น เอฟ. เคนเนดี และริชาร์ด นิกสัน เป็นบุคคลต้นแบบ ไบเดนตัดสินใจเลือกเรียนทางด้านกฎหมายจนสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ และเริ่มการทำงานเป็นทนายความหลังเรียนจบ  

 

การได้ทำงานคลุกคลีกับปัญหาของผู้คนที่เป็นลูกความ ทำให้โจ ไบเดน ยิ่งมุ่งมั่นสนใจงานการเมือง และนับตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา เขาก็ได้รับเลือกเป็นสภาชิกวุฒิสภาจากรัฐเดลาแวร์ และสามารถครองตำแหน่งมายาวนานถึง 36 ปี

 

อุบัติเหตุชีวิตและการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปพร้อม ๆกันถึงสองคนเกิดขึ้นหลังจากที่โจ ไบเดน ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาได้ไม่นาน ยังโชคดีที่เขาได้พี่สาวเข้าช่วยเหลือในการรับภาระเลี้ยงดูลูกชายกำพร้าแม่ทั้งสองคน  กระทั่งหลายปีต่อมา ไบเดนได้พบกับ “จิลล์” ภรรยาคนปัจจุบัน เขาตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ต้องเผชิญข่าวร้ายอีกครั้งเมื่อ “โบ” ลูกชายคนโต (จากภรรยาคนแรก) ล้มป่วยเป็นโรคมะเร็งสมองและจากไปในวัยเพียง 40 กว่าปี เหตุการณ์ความสูญเสียครั้งนั้น ทำให้ไบเดนต้องถอนตัวออกจากการโหวตชิงตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครตที่จะลงสนามเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2015

 

ในยุคของประธานาธิบดีบารัก โอบามา (ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2009 ถึง 2017)ไบเดนเคยดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี มีบทบาทเป็นที่จับตามองและเป็นที่รู้จักของคนทั้งประเทศ โดยเฉพาะนโยบายการต่างประเทศที่โดดเด่น

 

โจ ไบเดน อาสาลงแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยเหตุผลที่ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์นั้น เป็นภัยอย่างยิ่งต่อสหรัฐอเมริกา หากยังครองตำแหน่งต่อไปอีก 4 ปี มีแต่จะทำให้ประเทศชาติต้องลำบากมากกว่าเก่า “ทรัมป์จะทำให้เอกลักษณ์ของชาติเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ผมไม่อาจทนดูหรือปล่อยให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด”

 

สื่อต่างประเทศชื่นชมว่า โจ ไบเดน นั้นเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ เป็นคนจริงจังกับการทำงาน ถ้อยทีถ้อยอาศัย สงบเสงี่ยม เป็นนักกฎหมายที่พึ่งพิงของชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นบุคลิกที่แตกต่างสุดขั้วกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แสนจะฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด และโผงผาง

 

นโยบายของโจ ไบเดน ที่ประกาศตอนหาเสียงเลือกตั้ง

 

นโยบายด้านเศรษฐกิจ

 

ไบเดน ประกาศบนเวทีหาเสียงว่า หากได้เป็นประธานาธิบดี ในด้านภาษี จะเก็บเพิ่มภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็น 28% และขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดอัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากอัตราปัจจุบันที่ 37% นอกจากนี้จะเก็บภาษีกำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital gains tax) ในอัตราเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้เข้าคลัง 

 

ด้วยความที่เชื่อมั่นในนโยบายการค้าเสรี ไบเดนให้คำมั่นว่าหากเขาได้เป็นประธานาธิบดี สหรัฐจะผลักดันการใช้แนวทางการเจรจาผ่านองค์กรการค้าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ ไม่ให้เสียเปรียบกับคู่เจรจา นอกจากนี้ เขายังเสนอขึ้นอัตราค่าแรงเป็น 15 ดอลลาร์/ชั่วโมง

 

นโยบายเศรษฐกิจในภาพใหญ่ของไบเดนมีชื่อว่า "Buy American" เป็นโครงการมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเขาวางแผนใช้เงิน 4 แสนล้านดอลลาร์กระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง ผ่านการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ลงทุนกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ อย่างเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 5G,  ยานยนต์ไฟฟ้า, พลังงานสะอาด และปัญญาประดิษฐ์ (AI)  เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมและกระตุ้นให้เกิดจากจ้างงานที่มีค่าตอบแทนสูงในอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมาข้างต้น

 

นโยบายด้านการต่างประเทศ

 

ไบเดนมองว่า การใช้นโยบายแข็งกร้าวกับประเทศคู่ค้าทำให้สหรัฐอเมริกาถูกโดดเดี่ยว และสูญเสียสถานะการเป็นผู้นำในระบบการค้าเสรี และนั่นก็เปิดโอกาสให้จีนเข้ามีบทบาทโดดเด่นแทนที่ ไบเดนชูนโยบายที่สหรัฐต้องมีบทบาทผู้นำในการรักษาสันติภาพของโลก พร้อม ๆไปกับการรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐเอง

 

บนเวทีหาเสียง ไบเดนให้คำมั่นว่า เขาจะเพิ่มงบประมาณความช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจและด้านการทหารให้กับชาติพันธมิตรของสหรัฐ

 

นโยบายด้านสีผิว-ความเหลื่อมล้ำ-การเหยียดเชื้อชาติ

 

ไบเดน  เลือกที่จะยืนหยัดอยู่เคียงข้างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดสีผิว เขาต้องการหยิบยื่นความยุติธรรมให้กับคนผิวสี โดยเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่มักจะเกี่ยวเนื่องกับคนผิวสีและชนกลุ่มน้อย เช่น เรื่องของคดีอาญา นโยบายให้ถือว่าผู้เสพติดเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร ลดบทลงโทษของการมียาเสพติดในครอบครอง และเสนอให้มีระบบประกันตัวระหว่างสู้คดีโดยไม่ต้องใช้เงินสด

 

นโยบายสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก

 

ไบเดน ลั่นวาจาสวนทางกับปธน.ทรัมป์ในเรื่องนี้ เขาประกาศว่า ถ้าชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะนำประเทศกลับเข้าสู่ความตกลงปารีสว่าด้วยการลดปัญหาโลกร้อน ที่สำคัญคือ ไบเดนมองว่า สหรัฐต้องคงบทบาทความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด ขึ้นมาทดแทนอุตสาหกรรมพลังงานน้ำมัน เขาประกาศเป้าหมายว่า หากได้เป็นรัฐบาล สหรัฐจะเป็นประเทศที่ยุติการปล่อยก๊าซคาร์บอน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์) ภายในปี พ.ศ. 2593 หรือในอีก 30 ปีข้างหน้า ไบเดนจะห้ามการขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในเขตที่ดินสาธารณะ และมีแผนลงทุนกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด

เบื้องต้นนักวิเคราะห์ในตลาดเงินตลาดทุนคาดหมายว่า การปรับตัวลดลงของราคาในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกในช่วงขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ลงทุนส่วนใหญ่คาดเดาว่า นายโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต จะมีชัยชนะเหนือ "โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่วิเคราะห์จากนโยบายของนายโจ ไบเดน ว่าจะเป็น “ผลลบ” ต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากกว่าจะเป็นบวก เพราะไบเดนมีแผนปรับขึ้นภาษี และมีมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ชัยชนะของนายไบเดนก็น่าจะส่งผลเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน-พลังงานสะอาดในสหรัฐ

 

นอจากนี้ หากนายไบเดนเป็นฝ่ายชนะจริง ก็จะเป็นโอกาสเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่(Emerging Market : EM ) โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชีย อาจสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้ยังเป็นผลจากทุนต่างประเทศไหลเข้าตลาด EM  อันเนื่องจากนโยบายการขึ้นภาษี"กำไรส่วนต่างจากการลงทุน (Capital gains tax)" ของไบเดนนั่นเอง   

 

จากท่าทีประนีประนอมของนายไบเดน เป็นการเปิดโอกาสร่วมมือกับประเทศแถบเอเชียเพื่อคานอำนาจกับประเทศจีน แทนที่จะใช้นโยบายภาษีที่เป็นชนวนสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นมาในยุคสมัยของปธน.โดนัลด์ ทรัมป์

 

ที่มา: รวบรวมจาก ฐานเศรษฐกิจ