ฝ่ายค้านจ่อฟ้องรัฐบาลสหรัฐ บังคับฉีดวัคซีน “ขัดรัฐธรรมนูญ”

12 ก.ย. 2564 | 21:43 น.
อัปเดตล่าสุด :13 ก.ย. 2564 | 06:23 น.

พรรครีพับลิกันเตรียมฟ้องรัฐบาลสหรัฐ “กลับกลอก” เคยบอกจะไม่บังคับฉีดวัคซีน แต่ตอนนี้กลับมีคำสั่งปธน. บังคับบริษัทขนาดใหญ่ฉีดวัคซีนให้พนักงาน ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขณะที่ประเทศตุรกีมีประท้วงใหญ่เมื่อสุดสัปดาห์ คัดค้านรัฐบังคับฉีดวัคซีน-ตรวจโควิด-ใส่หน้ากาก

นางรอนนา แมคแดเนียล ประธานคณะกรรมาธิการแห่งชาติของ พรรครีพับลิกัน แถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เคยกล่าวไว้ว่า รัฐบาลไม่มีนโยบายบังคับประชาชนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แต่ตอนนี้ผู้นำสหรัฐ "กลับกลอก" และเชื่อถือไม่ได้อีกต่อไป

รอนนา แมคแดเนียล

นางแมคแดเนียล ในฐานะ ประธานพรรครีพับลิกัน ยืนยันว่า เธอสนับสนุนให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ต้องเป็นไป “ตามความสมัครใจ" ขณะเดียวกัน ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบทั่วหน้าจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ผู้ประกอบการและธุรกิจเอกชนจำนวนมาก ไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดตรวจคัดกรอง และจัดหาวัคซีนมาฉีดให้แก่พนักงานในองค์กรตามคำสั่งของปธน.โจ ไบเดน ที่ฝ่ายค้านเห็นว่า “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ"

 

ด้วยเหตุนี้ พรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในสภา จะเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพของชาวอเมริกันในเรื่องนี้ เมื่อใดก็ตามที่คำสั่งของผู้นำสหรัฐมีผลบังคับใช้
 

ความเคลื่อนไหวของพรรครีพับลิกันครั้งนี้ เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังปธ.ไบเดนประกาศเมื่อวันพฤหัสฯที่ผ่านมา (9 ก.ย.) ว่า ธุรกิจเอกชนที่มีพนักงานตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องจัดการให้พนักงานทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ส่วนผู้ที่มีเงื่อนไขยกเว้นด้านสุขภาพ ต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 สัปดาห์ละครั้ง

 

ส่วนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลคนใดที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ต้องไปจัดการฉีดให้เรียบร้อยภายใน 75 วัน ไม่เช่นนั้นอาจถูกเลิกจ้าง ยกเว้นหากมีหลักฐานมายืนยัน ว่าแพ้วัคซีน หรือป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถรับวัคซีนได้

 

นอกจากนี้ สหรัฐยังมีมาตรการของกระทรวงคมนาคม ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย. ที่ผ่านมา ระบุว่า

  • บุคคลใดไม่สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เมื่อเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ ต้องโทษปรับครั้งแรกระหว่าง 500-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 16,350-32,700 บาท)
  • หากพบการกระทำผิดซ้ำ ต้องโทษปรับระหว่าง 1,000-3,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 32,700-98,100 บาท)
  • นอกจากนี้ การแสดงกิริยามารยาทไม่สุภาพต่อพนักงาน เมื่อได้รับการเตือนให้สวมหน้ากากอนามัย มีความผิดตามกฎหมายเช่นกัน

ผู้ไม่สวมหน้ากากฯ เมื่อเข้าสู่ระบบขนส่งสาธารณะ ต้องโทษปรับครั้งแรกระหว่าง 500-1,000 ดอลลาร์

นอกจากในสหรัฐอเมริกาแล้ว หลายประเทศมีการชุมนุมประท้วงคัดค้านการใช้มาตรการ “เชิงบังคับ” สำหรับการฉีดวัคซีนป้องกัน-การตรวจหาเชื้อ และการสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด-19 ด้วย โดยล่าสุดเมื่อวันเสาร์ (11 ก.ย.) ในกรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ประชาชนชาวตุรกี จำนวนมากกว่า 2,000 คน ได้มารวมตัวกัน เพื่อแสดงพลังต่อต้านมาตรการควบคุมไวรัสโควิดของรัฐบาล เช่น บังคับฉีดวัคซีน บังคับตรวจโควิด และบังคับสวมหน้ากาก

 

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การชุมนุมของชาวตุรกีครั้งนี้ เป็นการชุมนุมประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ที่สุดในประเทศ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก ตะโกนคำขวัญ ถือป้ายประท้วงและธงชาติตุรกี ทั้งยังร้องเพลงปกป้องสิ่งที่พวกเขาระบุว่าเป็น “สิทธิส่วนบุคคล”

การประท้วงคัดค้านวัคซีนภาคบังคับ

รัฐบาลตุรกีเริ่มใช้มาตรการให้ประชาชนแสดงหลักฐานฉีดวัคซีนโควิด-19 หรือมีผลตรวจโควิดเป็นลบ สำหรับผู้ที่จะใช้บริการเครื่องบินภายในประเทศ รถโดยสารและรถไฟ รวมทั้งผู้ที่ประสงค์จะเข้าชมงานที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก อาทิ คอนเสิร์ตและละครเวที ส่วนครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียนทุกแห่งที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน จะต้องตรวจโควิดแบบ PCR สัปดาห์ละ 2 ครั้ง และบังคับสวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคมเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

 

ข่าวระบุว่า ตุรกีฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนไปแล้วมากกว่า 100 ล้านเข็ม มีผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มมากกว่า 64% แต่ก็ยังตรวจพบผู้ติดเชื้อรายวันราว 23,000 ราย ฟาห์เร็ตติน โคจา รัฐมนตรีสาธารณสุขตุรกีเตือนว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาจากผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน เขาโพสต์ทางทวิตเตอร์เมื่อวันเสาร์ว่า วัคซีนเป็นคำตอบสุดท้าย และกฎเกณฑ์การควบคุมโควิด-19 เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก

 

ในวันเดียวกันนั้น ที่ประเทศฝรั่งเศสมีการชุมนุมประท้วงการใช้บัตรผ่านสุขภาพทั่วประเทศเป็นสัปดาห์ที่ 9 แล้ว โดยกระทรวงมหาดไทยฝรั่งเศสเผยมีผู้ชุมนุมทั่วประเทศ 121,000 คน ในกรุงปารีสมีราว 19,000 คน ฝรั่งเศสบังคับประชาชนต้องแสดงบัตรว่าฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มหรือมีผลตรวจโควิดเป็นลบเมื่อจะเข้าสถานบริการประเภทร้านคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่สาธารณะส่วนใหญ่