ฟิทช์ โซลูชันส์ เปิดเผยวันนี้ (16 ก.ย.) ว่า การใช้ มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศเวียดนามส่งผลให้การขนส่งกาแฟไปทั่วโลกเผชิญกับความยากลำบาก และอาจทำให้ ราคากาแฟ ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงไปจนถึงปี 2565
เวียดนาม ซึ่งเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับสองของโลกกำลังรับมือกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอย่างรุนแรงจนถึงขณะนี้ และการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในนครโฮจิมินห์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งกาแฟและสินค้าอื่นๆ ไปยังต่างประเทศ
ข้อมูลจาก สำนักงานศุลกากรเวียดนาม ระบุว่า ยอดส่งออกกาแฟของเวียดนาม ในเดือนสิงหาคมลดลง 8.7% จากเดือนก.ค. แตะที่ระดับ 111,697 ตัน ส่วน ในช่วงเดือนม.ค.-ส.ค.ปีนี้ เวียดนามมียอดส่งออกกาแฟรวม 1.1 ล้านตัน ลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี รายได้จากการส่งออกกาแฟกลับเพิ่มขึ้น 2% สู่ระดับ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 65,852 ล้านบาท
การส่งออกกาแฟที่ลดลงของเวียดนามและการผลิตกาแฟในประเทศอื่นๆ ที่ปรับตัวลดลงเช่นกัน ส่งผลให้ราคากาแฟทั่วโลกพุ่งขึ้น โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Refinitiv ระบุว่า ราคาสัญญากาแฟอาราบิก้าพุ่งขึ้น 45.8% แล้วในปีนี้ ขณะที่ราคาสัญญากาแฟโรบัสต้าพุ่งขึ้น 52.2%
ฟิทช์ โซลูชั่นส์ เปิดเผยว่า บราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตกาแฟรายใหญ่อันดับ 1 ของโลกกำลังเผชิญกับภาวะน้ำค้างแข็งและความแห้งแล้งในพื้นที่เพาะปลูก ขณะที่สภาพอากาศแปรปรวนได้ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟในโคลัมเบีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่อีกราย นอกจากนี้ การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ "mu" (มิว) ในโคลัมเบียยังอาจทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อไปอีกยาวนาน และภาวะขาดแคลนแรงงานก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการผลิตกาแฟ
ทั้งนี้ ฟิทช์ โซลูชั่นส์ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคากาแฟอาราบิก้าในปี 2564 ขึ้นสู่ระดับ 1.60 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.35 ดอลลาร์/ปอนด์ และปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาในปีหน้า (2565) ขึ้นสู่ระดับ 1.50 ดอลลาร์/ปอนด์ จากระดับ 1.25 ดอลลาร์/ปอนด์