นายสวี เจียหยิ่น ประธาน บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่อันดับสองของจีนที่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องและมีภาระหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ซึ่งเทียบเท่ากับ 2% ของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของจีน) ใกล้ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 83.5 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 23 ก.ย. นี้ ได้ส่งจดหมายถึงพนักงานของบริษัท ยืนยันว่า บริษัทจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในขณะนี้ไปได้ด้วยดี และเขาเชื่อว่า การส่งมอบโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ จะดำเนินไปตามสัญญา
จดหมายของนายสวี ซึ่งมีชื่อในภาษาจีนกวางตุ้งว่า Hui Ka Yan ยังระบุด้วยว่า เอเวอร์แกรนด์จะแสดงความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ต่อบรรดาผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน หุ้นส่วน และสถาบันการเงินต่างๆ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เนื้อหาของจดหมายถึงพนักงานบริษัทซึ่งได้รับการรายงานโดยสื่อท้องถิ่นจีน ระบุชัดเจนว่า นายสวี เจียหยิ่น ประธานเอเวอร์แกรนด์ แสดงความมุ่งมั่นว่า บริษัทจะสามารถหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่มืดมนที่สุดนี้
ภาวะมืดมนดังกล่าวคือ ปัญหาวิกฤตสภาพคล่องที่เอเวอร์แกรนด์กำลังเผชิญอยู่ บริษัทมีกำหนดต้องจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทถึง 2 งวดภายในเดือนนี้ คือ
หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันในการชำระดอกเบี้ย มิฉะนั้นจะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ และหากเอเวอร์แกรนด์ตกอยู่ในสภาพผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ ทางบริษัทจะต้องทำการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนที่ต่ำ
ก่อนหน้านี้การก่อสร้างสังหาริมทรัพย์ในเครือเอเวอร์แกรนด์หยุดชะงักไป โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า บริษัทมีโครงการที่มีการชำระเงินล่วงหน้ามากกว่าหนึ่งล้านยูนิต แต่ยังไม่มีการก่อสร้าง ซึ่งสร้างความวิตกกังวลในหมู่นักลงทุนชาวจีนที่ทุ่มเงินซื้ออสังหาริมทรัพย์กันไปแล้ว
โดยผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้รวมตัวกันประท้วงที่สำนักงานของบริษัทอย่างต่อเนื่องเพื่อเรียกร้องคำตอบที่ชัดเจนจากบริษัท ตลอดจนต้องการให้ภาครัฐเข้ามาจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ออกมายืนยันว่า การก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการในปลายเดือนตุลาคมหรือต้นเดือนพฤศจิกายน แต่นักลงทุนส่วนหนึ่งก็ยังคงไม่วางใจ
ปัญหาวิกฤตหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ ยังเริ่มสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงตลาดหุ้นและตลาดคริปโตเคอร์เรนซีแล้วด้วย จากความวิตกกังวลและขาดความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุนที่เกรงว่าสุดท้ายแล้ว เอเวอร์แกรนด์จะต้องผิดนัดชำระหนี้ และหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการจุดชนวนให้เกิดผลกระทบในระบบเศรษฐกิจตามมา