ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ซึ่งเสร็จสิ้นลงเมื่อวานนี้ (3 พ.ย.) โดยระบุว่า เฟดมีความมุ่งมั่นที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญกับความท้าทายในขณะนี้
โดยเฟดเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการจ้างงานให้ขยายตัวอย่างเต็มศักยภาพ และบรรลุเป้าหมายในการรักษาเสถียรภาพด้านราคา
ท่ามกลางความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและการใช้นโยบายสนับสนุนที่แข็งแกร่งนั้น สัญญาณบ่งชี้ถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างมาก อย่างไรก็ดี แม้ว่าภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่การพุ่งขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงฤดูร้อนได้ทำให้การฟื้นตัวของธุรกิจเหล่านี้เป็นไปอย่างเชื่องช้า
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวขึ้น โดยส่วนใหญ่สะท้อนถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นชั่วคราว ส่วนภาวะอุปทานและอุปสงค์ยังคงไม่สมดุล อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการเปิดเศรษฐกิจทำให้ราคาสินค้าในบางภาคส่วนปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ขณะที่ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลาย ซึ่งส่วนหนึ่งสะท้อนถึงมาตรการด้านนโยบายต่าง ๆ ที่สนับสนุนเศรษฐกิจ และการจัดสรรสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของสหรัฐ
สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้านั้น จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ คาดว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนและภาวะติดขัดด้านอุปทานที่เริ่มบรรเทาลง จะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน อีกทั้งช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี แนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงเผชิญกับความเสี่ยง
คณะกรรมการ FOMC พยายามหาแนวทางที่จะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 2% ในระยะยาว ทั้งนี้ จากการที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวต่ำกว่าเป้าหมายระยาวของเฟดอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการจึงตั้งเป้าหมายที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 2% ในบางช่วงเวลา เพื่อให้อัตราเฉลี่ยของเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับ 2% และตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะยาวจะยังคงอยู่ที่ระดับ 2% โดยคณะกรรมการจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
คณะกรรมการ FOMC ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% โดยคณะกรรมการคาดว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวไปจนกว่าภาวะตลาดแรงงานจะบรรลุเป้าหมายการจ้างงานอย่างเต็มศัยภาพตามที่เฟดประเมินไว้ และอัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 2% และอยู่ในทิศทางที่จะปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 2% ในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความคืบหน้าตามเป้าหมายของคณะกรรมการตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
คณะกรรมการจึงได้ตัดสินใจจะเริ่มปรับลดวงเงินวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 1 หมื่นล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เดือนละ 5 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ นับตั้งแต่เดือนพ.ย.เป็นต้นไป คณะกรรมการจะเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอย่างน้อยเดือนละ 7 หมื่นล้านดอลาร์ และถือครองตราสารหนี้ MBS อย่างน้อยเดือนละ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และนับตั้งแต่เดือนธ.ค.เป็นต้นไป คณะกรรมการจะเพิ่มการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอย่างน้อยเดือนละ 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และถือครองตราสาร MBS อย่างน้อยเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าการปรับลดวงเงินซื้อสินทรัพย์สุทธิในอัตราที่เท่ากันเช่นนี้ จะเป็นการดำเนินการที่เหมาะสมในแต่ละเดือน อย่างไรก็ดี คณะกรรมการมีความพร้อมที่จะปรับอัตราการซื้อสินทรัพย์หากพบว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการคาดว่าการซื้อและการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดต่าง ๆ ดำเนินการต่อไปได้อย่างราบรื่น และช่วยสนับสนุนภาวะด้านการเงินให้เป็นไปในลักษณะที่ผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้สินเชื่อไหลเวียนไปสู่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ
ส่วนในการประเมินแนวทางที่เหมาะสมของนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการจะยังคงจับตาข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะได้รับในวันข้างหน้า ขณะเดียวกันคณะกรรมการจะเตรียมความพร้อมเพื่อปรับแนวทางนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เฟดไม่สามารถบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ ของคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการจะประเมินข้อมูลในวงกว้าง ซึ่งรวมถึงข้อมูลด้านสาธารณสุข ภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการพิจารณาสถานการณ์ทางการเงินและสถานการณ์ในต่างประเทศ
สำหรับกรรมการเฟดผู้ที่ออกเสียงสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินของ FOMC ในการประชุมครั้งนี้ ได้แก่ เจอโรม เอช พาวเวล ประธานเฟด, จอห์น ซี วิลเลียมส์ รองประธานเฟด, โธมัส ไอ บาร์กิน, ราฟาเอล ดับเบิลยู บอสติก, มิเชล ดับเบิลยู โบวแมน, ลาเอล เบรนาร์ด, ริชาร์ด เอช คลาริดา,แมรี ซี ดาลี, ชาร์ลส อีแวนส์, แรนดัล เค ควอร์เลส และคริสโตเฟอร์ เจ วอลเลอร์