ผลการศึกษาเกี่ยวกับ ธารน้ำแข็งหลักๆของโลก ที่จัดทำขึ้นโดย องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ภายใต้ความร่วมมือกับสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) และมีการเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆนี้ และโดยการวิจัยนี้มุ่งศึกษาธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลก 50 แห่งของ องค์การยูเนสโก
แหล่งมรดกโลกดังกล่าวเป็นที่ตั้งของธารน้ำแข็ง 18,600 แห่ง ครอบคลุมระยะทางประมาณ 66,000 กิโลเมตร และคิดเป็นอัตราส่วนเกือบ 10% ของธารน้ำแข็งบนโลก
นักวิจัยกล่าวว่า ธารน้ำแข็งตามแหล่งมรดกโลกเหล่านี้ได้ละลายหายไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปีค.ศ. 2000 เนื่องจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ที่ทำให้อุณหภูมิโลกที่อุ่นขึ้น
นอกจากนี้ นักวิจัยยังมีรายงานว่า ปัจจุบันธารน้ำแข็งดังกล่าวสูญเสียน้ำแข็งปีละ 58,000 ล้านตัน หรือเทียบเท่ากับปริมาณน้ำที่ประเทศฝรั่งเศสและสเปนใช้รวมกันในปีหนึ่ง ๆ ซึ่งมีส่วนที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 5% อีกด้วย
ทั้งนี้ ธารน้ำแข็งในแหล่งมรดกโลกนั้น รวมไปถึงธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับยอดเขาเอเวอเรสต์ในเทือกเขาหิมาลัย ที่เขตพรมแดนของประเทศเนปาลและจีน นอกจากนี้ ยังมีธารน้ำแข็งที่ยาวที่สุดที่พบในอลาสกา และธารน้ำแข็งสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของแอฟริกา ซึ่งรวมถึงอุทยานแห่งชาติคิลิมันจาโรและภูเขาเคนยา
ส่วนธารน้ำแข็งในยุโรปและละตินอเมริกาก็ดูเหมือนว่ากำลังจะละลายหายไปด้วยเช่นกัน
รายงานการศึกษานี้มีข้อสรุปว่า
รายงานของ UN ฉบับนี้ได้รับการเผยแพร่ออกมาเพียง 3 วันก่อนการประชุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (COP27) ที่เมืองชาร์ม เอล-ชีค ประเทศอียิปต์ ซึ่ง ออเดรย์ อาซูเลย์ (Audrey Azoulay) ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโกกล่าวว่า รายงานชิ้นนี้เป็นการเรียกร้องให้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ และเธอได้ทวีตข้อความออกมาว่า
“มีเพียงการลดระดับการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างรวดเร็วเท่านั้นที่จะสามารถช่วยธารน้ำแข็ง และความหลากหลายทางชีวภาพอันแสนพิเศษซึ่งต้องพึ่งพาธารน้ำแข็งเหล่านั้น”