สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานผลสำรวจการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ล่าสุดวันที่ 12 กันยายน 2567 จากสำรวจชาวอเมริกันทั่วประเทศ 1,690 คน รวมถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้ว 1,405 คน พบว่า คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต มีคะแนนนิยมนำหน้าโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันด้วยคะแนน 47% ต่อ 42% โดยเพิ่มความได้เปรียบหลังจากการโต้วาทีกับอดีตประธานาธิบดีเมื่อไม่นานมานี้
ทั้งนี้ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า คามาลา แฮร์ริส มีคะแนนนำหน้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้วอยู่ 5 คะแนน สูงกว่าการสำรวจในครั้งก่อน โดยบรรดาผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 53% เชื่อว่า แฮร์ริสชนะ และ 24% เชื่อว่า ทรัมป์ชนะ ส่วนที่เหลือกล่าวว่าไม่มีใครชนะหรือไม่ตอบ
อย่างไรก็ตามจากการสำรวจพบว่า ประมาณ 52% ของผู้ที่คุ้นเคยกับการโต้วาที มองว่า ทรัมป์สะดุดและดูไม่ฉับไว ส่วน 21% กล่าวเช่นนั้นกับแฮร์ริส
ผลสำรวจระบุว่า แฮร์ริส วัย 59 ปี ทำให้ทรัมป์ วัย 78 ปี ต้องตั้งรับในการโต้วาทีประธานาธิบดีที่ดุเดือด ด้วยการโจมตีอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งและปัญหาทางกฎหมายมากมายของเขา โดยเน้นย้ำถึงการตัดสินลงโทษทรัมป์ในข้อหาอาญาที่เขาปลอมแปลงบันทึกทางธุรกิจ ประมาณ 52% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่คุ้นเคยกับการโต้วาที เห็นว่าแฮร์ริส "ให้ความรู้สึกว่ามีความซื่อสัตย์ทางศีลธรรมสูงกว่า" เทียบกับ 29% ที่กล่าวเช่นเดียวกันกับทรัมป์
อย่างไรก็ดีชาวรีพับลิกันจำนวนมากก็ไม่เชื่อมั่นในผลงานของผู้สมัครของพวกเขาในการโต้วาทีที่ฟิลาเดลเฟียด้วย ประมาณ 53% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งพรรครีพับลิกันในการสำรวจ มองว่าทรัมป์ชนะการโต้วาที เทียบกับ 91% ของพรรคเดโมแครตที่กล่าวว่าเธอเป็นผู้ชนะ ในหมู่ชาวรีพับลิกัน 31% กล่าวว่าไม่มีใครชนะ และ 14% กล่าวว่าแฮร์ริสเอาชนะทรัมป์ได้
อย่างไรก็ดี 91% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เห็นว่าพวกเขาได้รับรู้บางสิ่งเกี่ยวกับการโต้วาที และ 44% กล่าวว่าพวกเขาได้รับรู้มาก ขณะที่การสำรวจพบว่า 52% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่าทรัมป์แก่เกินไปที่จะทำงานในรัฐบาล เทียบกับ 7% ที่กล่าวเช่นเดียวกันกับแฮร์ริส
โดยทั่วไปแล้ว ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้คะแนนแฮร์ริสดีกว่าทรัมป์ในเรื่องการวางตัว เมื่อถามว่าใครในสองคนนี้ดูมีศักดิ์ศรีมากกว่า 56% ของผู้ที่คุ้นเคยกับการโต้วาทีเลือกแฮร์ริส เทียบกับ 24% ที่เลือกทรัมป์ 49% มองว่าแฮร์ริส "ดูเหมือนคนที่จะรับฟังฉันและเข้าใจความกังวลของฉัน" เทียบกับ 18% ที่มองทรัมป์เช่นนั้น