สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีน จะร้อนระอุขึ้นหรือไม่ ไม่ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน หรือ กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย. เป็นเรื่องที่ต้องจับตา
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯจะไม่เปลี่ยนแปลงแนวทางของความขัดแย้งด้านเทคโนโลยีกับจีน ทั้งทรัมป์ และแฮร์ริส ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมาตรการที่มุ่งจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีและทรัพยากรของสหรัฐจากจีน แม้ว่ากลยุทธ์ของทั้งคู่จะแตกต่างกันก็ตาม
พรรคเดโมแครตน่าจะออกมาประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ที่ตรงเป้าหมาย ในขณะที่ทรัมป์ก็มีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการตรงไปตรงมามากกว่า คาดว่าจะมีความพยายามใหม่ๆ ในการชะลอการไหลของชิปจีนที่ไม่ซับซ้อน รถอัจฉริยะ และการนำเข้าอื่นๆ เข้าสู่สหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการควบคุมเพิ่มเติมต่อเครื่องมือผลิตชิปและชิป AI ที่มีราคาสูงซึ่งมุ่งหน้าสู่จีน ตามที่อดีตเจ้าหน้าที่จากฝ่ายบริหารของไบเดนและทรัมป์ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม และผู้ใกล้ชิดกับแคมเปญกล่าว
ในการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ แฮร์ริสจากพรรคเดโมแครตกล่าวว่าจะทำให้แน่ใจว่า อเมริกา ไม่ใช่จีน ที่จะชนะการแข่งขันในศตวรรษที่ 21 ในขณะที่ทรัมป์ ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ได้เสนอให้ภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆซึ่งรวมถึงการต่อสู้กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของจีนด้วย
โดยสรุปแล้ว การต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้เงินและเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เข้ามาเสริมศักยภาพทางการทหารและปัญญาประดิษฐ์ของจีนน่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นภายใต้การนำของแฮร์ริสหรือทรัมป์
เมื่อเดือนที่แล้ว สหรัฐฯ เสนอกฎเกณฑ์เพื่อไม่ให้รถยนต์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ผลิตด้วยส่วนประกอบของจีน ใช้งานบนท้องถนนในสหรัฐ ขณะเดียวกันกฎหมายที่ระบุว่า TikTok จะต้องขายโดยบริษัทแม่ในจีนภายในปีหน้าไม่เช่นนั้นจะถูกแบน เนื่องจากมีข้อกังวลว่าบริษัทจีนจะเข้าถึงและอัปเดตอุปกรณ์ได้หรือไม่ แต่เรื่องรถยนต์เชื่อมต่อและ TikTok เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของเรื่องใหญ่เท่านั้น
หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง แนวทางของเธออาจมุ่งเป้าและประสานงานกันมากกว่าทรัมป์ ตัวอย่างเช่น เธอมีแนวโน้มที่จะทำงานร่วมกับพันธมิตรต่อไปเช่นเดียวกับที่รัฐบาลของไบเดนทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ช่วยเหลือกองทัพจีน
ในทางกลับกันรัฐบาลของทรัมป์อาจดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเต็มใจที่จะลงโทษพันธมิตรมากขึ้นมีการคาดการณ์ว่าจะมีการขยายรายชื่อนิติบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อจับบริษัทในเครือและหุ้นส่วนทางธุรกิจของบริษัทจดทะเบียน โดยทรัมป์ได้เพิ่มบริษัท Huawei Technologies ของจีนเข้าไปในรายชื่อเนื่องจากละเมิดมาตรการคว่ำบาตร เเละใบอนุญาตในการจัดส่งเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ไปยังจีนก็มีแนวโน้มที่จะถูกปฏิเสธมากขึ้น ซึ่งแนวทางของทรัมป์นั้นเป็นไปในหลากหลายด้าน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนที่สุดจากข้อเสนอภาษีศุลกากรในปัจจุบันของเขา
ทรัมป์กล่าวว่าจะเรียกเก็บภาษี 10 หรือ 20 % จากการนำเข้าสินค้าทั้งหมด (ไม่เพียงแค่จากจีน) และ 60 % หรือมากกว่านั้นจากการนำเข้าจากจีน
แฮร์ริสได้อธิบายแผนภาษีของทรัมป์ว่าเป็นภาษีจากผู้บริโภค แต่รัฐบาลไบเดนมองเห็นถึงความจำเป็นของภาษีแบบกำหนดเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงการเพิ่มอัตราภาษีสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จาก 25%เป็น 50 %ภายในปี 2568
ขณะที่จีนกล่าวว่าจะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์เมื่อปีที่แล้ว โดยได้โจมตีบริษัทผลิตชิปหน่วยความจำ Micron Technology ของสหรัฐฯ หลังจากที่กำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกชิปและอุปกรณ์ผลิตชิปของสหรัฐฯ และกล่าวหาจีนว่าลงโทษบริษัทอื่นๆ ของสหรัฐฯ ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้น
เมื่อปีที่แล้ว จีนได้ออกข้อจำกัดการส่งออกเจอร์เมเนียมและแกลเลียม ซึ่งเป็นโลหะที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการผลิตชิป โดยอ้างถึงผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของชาติ จีนได้ออกข้อจำกัดใหม่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แกรไฟต์บางชนิดที่ใช้ในแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2023 เพียงไม่กี่วันหลังจากที่สหรัฐฯ เข้มงวดกฎเกณฑ์การส่งออกที่เกี่ยวข้องกับชิป และในเดือนมิถุนายน จีนเปิดเผยกฎเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับธาตุหายากซึ่งมีความสำคัญต่ออุปกรณ์ทางทหารและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค
อ้างอิงข้อมูล