การกลับมาของ "โดนัลด์ ทรัมป์" ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกสมัยและการประกาศใช้นโยบาย "America First" หรือ "อเมริกามาก่อน" อีกครั้งได้จุดกระแสความไม่แน่นอนในเวทีการค้าระหว่างประเทศอย่างรุนแรง ความตั้งใจในการเพิ่มภาษีศุลกากรสูงถึง 60% สำหรับจีน และ 10% สำหรับประเทศอื่นๆ เป็นสัญญาณชัดเจนถึงแนวทางการกีดกันทางการค้าที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งครั้งแรก การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า เช่น จีน ยุโรป และแคนาดา เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าภาษีศุลกากรไม่ได้แก้ปัญหาการขาดดุลการค้าโดยรวมของสหรัฐฯ แต่กลับทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจตึงเครียดมากขึ้น และในปี 2568 คาดการณ์ว่าสถานการณ์อาจรุนแรงกว่าเดิม เนื่องจากการปรับเพิ่มภาษีในวงกว้างที่มีผลกระทบต่อหลายอุตสาหกรรม
ผลกระทบนี้เห็นได้ชัดในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น ยานยนต์ เครื่องยนต์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดจากการเพิ่มภาษี โดยในปี 2565 สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าจากกลุ่มนี้เป็นมูลค่ารวมกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ความเสี่ยงดังกล่าวอาจกระทบต่อรายได้ของบริษัทในประเทศคู่ค้า และส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในหลายภูมิภาค
การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในห่วงโซ่อุปทานเริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อบริษัทข้ามชาติต้องปรับตัวเพื่อลดผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น Lego ซึ่งตัดสินใจตั้งโรงงานใหม่ในสหรัฐฯ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าจากเม็กซิโก แนวโน้มนี้ทำให้เห็นว่าธุรกิจต้องการความใกล้ชิดกับตลาดที่สำคัญ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในระยะยาว
สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ กลยุทธ์การกระจายตลาดและการตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคต่างๆ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความยั่งยืน การลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในห่วงโซ่อุปทานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจที่ยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ อย่างมากจำเป็นต้องมีแผนรองรับหากเกิดการตอบโต้ทางการค้า
นอกจากนั้น ความไม่แน่นอนยังมาจากการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลก อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นและการตัดลดภาษีในประเทศสหรัฐฯ อาจทำให้การนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยนี้ไม่ได้ช่วยลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ
ในระดับโลก การค้าระหว่างประเทศเริ่มแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางที่เพิ่มขึ้น แนวคิดของโลกาภิวัตน์ที่เคยเชื่อว่าจะนำไปสู่ความสงบสุขถูกท้าทายจากความไม่มั่นคงทางการเมืองและนโยบายการค้าแบบแยกส่วน การตอบสนองเชิงกลยุทธ์ของบริษัทขนาดใหญ่จึงเป็นตัวชี้วัดสำคัญของทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต
ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจดูเหมือนเติบโตอย่างรวดเร็วจากการลงทุนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่นโยบาย "อเมริกามาก่อน" อาจทำให้เศรษฐกิจโลกมีความซับซ้อนและเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น หากไม่มีการปรับนโยบายอย่างรอบคอบ ผลกระทบระยะยาวอาจเป็นความแตกแยกในระบบการค้าระหว่างประเทศ
ปี 2568 จึงอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเศรษฐกิจโลกที่ต้องการความเข้าใจและการเตรียมพร้อมจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่นักลงทุนไปจนถึงผู้กำหนดนโยบาย ระหว่างที่โลกเฝ้ารอดูว่าผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะพาเราไปสู่จุดใด
อ้างอิง: IMD