การเลือกตั้งสหรัฐฯ : ประธานาธิบดีหญิงคนแรก HARRIS?

25 ส.ค. 2567 | 06:00 น.
อัพเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2567 | 08:53 น.

การเลือกตั้งสหรัฐฯ : ประธานาธิบดีหญิงคนแรก HARRIS? โดย ศ.ดร.ไชยา ยิ้มวิไล, ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาตสกล

รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส จาก running mate มาสู่แคนดิเดตตัวจริงของพรรคเดโมแครตเพื่อลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปีการเลือกตั้ง 2024 นี้ เธอเติบโตจากอาชีพสายกฎหมาย เป็นอัยการ และได้ถูกเลือกให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย และต่อมาได้เข้ามาสู่วงการนักการเมืองโดยได้ดำรงตำแหน่ง สมาชิกวุฒิสภาของรัฐแคลิฟอร์เนีย และเธอมาไกลจนตำแหน่งสูงสุดที่เธอได้รับในปัจจุบัน คือรองประธานาธิบดีหญิง ซึ่งได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกสำหรับตำแหน่งนี้ และยังเป็นอเมริกันเชื้อสายเอเชีย-แอฟริกัน อีกด้วย และเมื่อ โจ ไบเดน ถอนตัวจากการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และส่งต่อให้คามาลา แฮร์ริส จึงเหมือนเป็นการจุดประกายความหวังแก่ชาวอเมริกันว่า เธออาจจะได้เป็นประธานาธิบดีที่เป็นสตรีคนแรกของสหรัฐอเมริกา ด้วยวัย 59 เกือบ 60 ปี

สำหรับ ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ที่ คามาลา แฮร์ริส เลือกเป็น running mate จับมือกันร่วมไปชิงชัยศึกการเลือกตั้งในครั้งนี้ ดูจากประวัติก่อนเข้าทำงานเป็นนักการเมือง เขาเป็นครู อดีตโค้ชฟุตบอล และ กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิสหรัฐฯ (National Guard ) ประวัติอาจจะดูเรียบง่ายแต่มีบางอย่างที่น่าสนใจ คือ เขาเคยมีประสบการณ์การไปทำงานที่ประเทศจีน และ เมื่อเขาได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของมลรัฐมินนิโซตา เขาได้มีโอกาสรับผิดชอบในการสังเกตการณ์สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศจีน ดังนั้นเขาจึงมีความเข้าใจจีนได้อย่างลึกซึ้ง นอกจากนั้นนโยบายเสรีนิยมของเขาเช่น สนับสนุนการทำแท้งอย่างถูกกฎหมาย การจำกัดการมีอาวุธปืน ฯลฯ นั้นเป็นการตอกย้ำว่าเขามีแนวคิดตรงตามแนวทางของพรรคเดโมแครต อย่างแท้จริง วัย 60 ปี

จากวันที่นางคามาลา แฮร์ริส ประกาศให้ ทิม วอลซ์ เป็น running mate ทั้งสองคนดูเหมือนจะทำให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งชาวอเมริกันที่สนับสนุนพรรคเดโมแครต กลับมามีความหวัง มีชีวิตชีวา อีกครั้ง และการแข่งขันกับคู่ชิงจากฝ่ายรีพลับบลิกันกลับมาคึกคักด้วยเช่นกัน คามาลา แฮร์ริส ได้รับการสนับสนุน และได้รับเงินบริจาคเป็นจำนวนมาก เกือบประมาณ 300 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ และผลสำรวจคะแนนนิยมจากหลายโพลในสหรัฐฯ พบว่า นางคามาลา แฮร์ริส มีคะแนนนำ โดนัลป์ ทรัมป์ ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ล่าสุดประมาณร้อยละ 57 และสุภาพสตรีที่สนับสนุนเธออยู่แล้วได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนผู้ชายที่ก่อนหน้านั้นจำนวนไม่มาก แต่กลับเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนผู้สูงวัย ส่วนคนผิวสีและคนรุ่นใหม่วัย 18-29 ปี นั้นแน่นอน สนับสนุนเธอมากอยู่แล้วจำนวนร้อยละ 70 ถึงเกือบ 80 ทีเดียว

สำหรับนโยบายการหาเสียงของพรรคเดโมแครต ในขณะนี้ ดูเหมือนจะมีการปรับเปลี่ยนให้เน้นไปที่ “กลุ่มชนชั้นแรงงาน” ซึ่ง “ชนชั้นแรงงานและเกษตรกรอเมริกัน” นั้นเป็นฐานคะแนนเสียงของ โดนัลด์ ทรัมป์ และทิม วอลซ์ ด้วยความเป็นที่คนผิวขาว มาจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน อาจจะช่วยดึงคะแนนจากคนผิวขาวตามแถบชนบทได้ เดโมแครตได้นำเสนอนโยบายลดค่าครองชีพที่สูงมาก ลดราคาสินค้า และลดราคาบ้านเช่น ที่พักอาศัย ทำให้คนอเมริกันสามารถเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัย รวมถึงการมีโครงการจัดหาบ้านให้แก่ประชาชน และลงทุนในการสร้างพื้นฐานสาธารณะ และการสร้างงาน สร้างอาชีพ เป็นต้น ด้วยนโยบายเหล่านี้ “โดนใจ” ชาวอเมริกันทั้งผิวขาวและผิวสีอย่างมาก โดยเฉพาะกรณี “ภาษี” ที่จะดึงภาษีจาก “คนมีฐานะ” มาแจก “คนชั้นกลาง-คนยากจน” และ “ลดความเหลื่อมล้ำ”

นโยบายด้านเศรษฐกิจ คงจะเป็นประเด็นที่คนอเมริกันอยากฟังจากทั้งสองพรรคการเมืองในเวลานี้ และในเวลาเดียวกัน กลวิธีโน้มน้าวใจในการขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงก็มีความสำคัญ เวลาที่เหลืออยู่ จนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 คามาลา แฮร์ริส หรือโดนัลด์ ทรัมป์ ใครจะทำให้คนอเมริกันเชื่อได้มากกว่ากัน

อย่างไรก็ตาม นางแฮร์ริส และทิมวอลซ์ เหลือเวลาเพียง 70 กว่าวันเท่านั้น โดยเธอและวอลซ์เดินสายหาเสียงตามมลรัฐ “แกว่ง (SWING STATE)” อย่างหนักมากเพื่อโกยคะแนนนิยมกลับคืนมา ซึ่งก็ได้ผลพอสมควร ด้วยลีลาที่เข้มข้นและเจาะทะลุถึงใจประชาชนแทบทุกกรณี โดยเฉพาะกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ก่อคดีมากมาย ทั้งคดีฉาว และการบริหารการหาเสียงที่ “ระห่ำ” พร้อมทั้ง “การโกหก” อย่างมากมาย

ชาวอเมริกันคงจะตระหนักดีและ “ถ่วงดุล (BALANCE)” ได้ดีว่า ถ้าได้ประธานาธิบดีทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีก “อะไรจะเกิดขึ้นกับอเมริกา!” และถ้าได้ “นางคาเมร่า แฮร์ริส-ทิม วอลซ์” เป็นทีม “ผู้บริหารประเทศ” ชุดใหม่สำหรับ “ทำเนียบขาว” อะไรจะเกิดขึ้นกับ “อนาคตของสหรัฐอเมริกา”

บทวิเคราะห์ของผมกับอาจารย์ประพีร์และหมู่มวลสมาชิกในสมาคมอเมริกันศึกษาในประเทศไทย ตลอดจนบรรดาสื่อสารมวลชนและลูกศิษย์ทั้งหลายที่สนใจ “การเมืองในสหรัฐฯ” ต่างคาดการณ์กันว่า นางแฮรฺริสและทิมวอลซ์จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทั้ง “คะแนนนิยม (POPULAR VOTE)” และ “คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (ELECTORAL VOTE)” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน อย่างแน่นอน เพราะ “การเมืองน้ำเน่า” แบบเดิมๆ นั้น ผมคิดว่า “มันน่าจะจบแล้ว”

ทั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังใช้ลีลาและลูกเล่นการเมืองแบบเดิมๆ ที่ “พลิ้ว” มาก ตลอดจนต้องขอเรียนตามตรงว่า โดนัลด์ ทรัมป์ นั้น “บริหารงานไม่เป็น” โดย “สังคมบริบทยุคใหม่” โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่โดยเฉพาะเศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่อย่างมาก ที่ประธานาธิบดีและคณะผู้บริหารยุคใหม่ต้องหันหลังกลับมาบริหารจัดการเก็บกวาดบ้านตนเองให้เรียบร้อยเสียก่อน ด้านเศรษฐกิจด้วยการฟื้นฟู ในขณะเดียวกันด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ต้องเร่งฟื้นฟูกับสาธารณรัฐประชาชนจีนและภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ตลอดจนต้องเร่งจัดการเจรจา “สงครามยูเครน-รัสเซีย” และ “อิสราเอล-ฮามาส”

ต้องเรียนตามตรงว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ถึงแม้นจะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง คงจะรับมือไม่ไหวกับสภาพปัญหาต่างๆ รุมล้อมเช่นนี้ ถ้ายังคงมี “วิธีคิด-หลักการคิด (ATTITUDE)” เดิมๆ “แบบเก่า!”

อาจจะทำให้อเมริกาและชาวอเมริกันต้องทบทวนและคิดใหม่ได้แล้วว่า “อเมริกาจะต้องเดินไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้หรือไม่?”