ในเวิ้งป่าดงลึกชุ่มโคลนและชุมไข้ป่ามาเลเรีย แนวขนาบของลำน้ำกษัตริย์ ซองกาเลีย แดนเถื่อนเหมืองปิล็อก ตะเข็บชาย แดนตะวันตก อาณาเขตสองฟากของด่านเจดีย์สามองค์เปนที่หลบภัยของชนไร้แผ่นดิน ทั้งมอญ กะเหรี่ยง กะหร่าง ปะโอ ทวาย
แต่โบราณมาพม่าเข้ารุก ญี่ปุ่นเข้าราน พาลพาโลให้เกิดสถานการณ์เปนบ้านป่าแดนเถื่อนมิคสัญญีไม่มีใครปกครองคุมแลอยู่หมัดเด็ดขาด นับเปนดินแดนที่มือใครยาวสาวได้ก็ส่วนหนึ่ง มือใครหนักตบฟาดกระชากเอาได้ก็อีกส่วนหนึ่ง
ยามนั้นงานชุมโจรเกิดขึ้นกันทั่วไป งานเพาะงานปลูกงานไร่ไม่นิยมทำกัน ทำเอาแต่ชิงปล้น วันไหนอยากได้อะไรจำนวนเท่าไหร่ก็มีใบบอกไปประกาศเอา เอามีดปักไว้คาเสาศาลาวัด ไม่ให้ก็เผา_เผามันเสียทั้งหมู่บ้านทั้งไร่นาสาโท นี่ไม่นับงานฉุดคร่าอนาจารทำการข่มขืนปล้นสวาทกันง่ายดายเปนการทั่วไป ขัดขืนก็ฆ่าทิ้ง ไม่มีใครกล้าจับกุม
บ้านหมู่หนึ่งโดนโจรก๊กหนึ่งปล้นไปแล้ว อีกพักก็มีโจรอีกก๊กมาปล้นช้ำ ระยำกันถึงขนาดอ้างว่าเปน ‘โจรกู้ชาติ’ จำจะต้องหาเสบียงอาหาร อ้างว่าไม่ปล้นเขาจะเอาอะไรกิน? ลูกเมียออกยั้วะเยี้ยะ! ชาวบ้านก็กลัวกันหัวหด ถึงวันโจรนัด ต้องขนข้าวขนของเงินทองมาเช่นไหว้โจรมโหฬารชะยิ่งกว่างานบุญกฐินเลี้ยงพระ!
อำนาจรัฐเข้าไปไม่ถึงจะด้วยกลัวกันดารและ/หรือไข้ป่ามาลาเรีย ก็ตาม และแม้ว่าจะถึงทำเหตุไว้ข้างหนึ่งก็ข้ามชายแดนหนีไปกบดานกันอยู่อีกฟากหนึ่ง no man’s land ได้สะดวกดายจะไปยากอะไร ก็ในสังคมเช่นอย่างว่านี้นั้น เหลียวช้ายไม่มีหันขวาไม่มาจะหันหน้าไปพึ่งใคร? ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้พ้นทุกข์พ้นร้อน คงหนีไม่พ้นวัดว่าแต่วัดไหน? ที่จะเปนศูนย์รวมจิตใจให้แก่ผู้แตกกระสานช่านกระเซ็นในสถานการณ์เช่นนี้ได้กันเล่า?
ย้อนไปสมัยกรุงแตก บ้านเมืองแยกเปนก๊กเหล่า คำว่าชุม “เจ้าพระฝาง” คงเปนคำคุ้นหูค่าที่ว่าปวงชนแถบพิษณุโลก อุตรดิตถ์ (ขออภัย พิชัย/สองแคว) ยกพระภิกษุที่ตนเองเคารพนับถือ ให้เปนผู้นำเพื่อกำกับสถานการณ์ขุกเข็ญไร้ขื่อแปให้ราบคาบลง
นี่เองเปนสิ่งที่เรียกว่า natural leader_ ผู้นำตามธรรมชาติ คนเราก็หมิ่นประมาทด่าทอกันเข้าไปว่าเปนพระมายุ่งอะไรการเมือง เปนพระควรต้องสละลาภยศดิ ตั้งตัวเปนเจ้าได้ไง เลวอย่างนั้นทรามอย่างนี้
อะแฮ่ม ประเภทนี้เขาเรียกรู้ดี แต่ไม่รู้ชั่ว ก็ในเมื่อผู้คนเคารพพระสงฆ์อยู่แล้ว เข้าวัดเข้าวาก็ประนมมือไหว้ ชั่วชีวิตตลอดอายุขัย งานเกิด/แก่ /เจ็บ/ตาย พิธีกรรมกำลังใจทุกชนิดตั้งกะขลิบผมไฟ ไปยังเผาศพ ก็พระนี่
แหละทำให้ แถมหลายรูปยังทำหน้าที่เปนครูอาจารย์ สอนอ่านสอนเขียน ความรู้มากกว่าหลายรูปมีวิชชาคุ้มภัยคุ้มเกล้าก็ประสิทธิลงคุ้มครองศิษย์รักที่พออ่านออกเขียนได้แล้ว_ก็วันหนึ่งต้องไปเกณฑ์ทหารออกรบทัพจับศึก จะสักหมึกทำพิรอด ลูกอม เสื้อยันต์ให้ลูกศิษย์ตัวปลอดภัยด้วยจิตปรารถนาดี ก็เปนเรื่องปกติ
ฉะนั้นไอ้การศรัทธาในพระสงฆ์ที่ “มีดี” จนถึงขั้นยกให้เปนผู้นำ_ยกให้เปนเจ้านี้จะไปแปลกอะไร? มันเปนไปโดยธรรมชาติ ไม่เชื่อก็ลองเข้าวาติกันไปทูลถามสมเด็จพระสันตปาปาดู นั่นหละสุดยอดผู้นำ (summit) ของเหล่ากษัตริย์คริสต์เลยเทียว สมเด็จท่านบัญชาการรบอีกตะหาก_ก็สงครามครูเสดนั่นไง ท่านที่สนใจก็ขอเชิญตามอ่านต่อในเครื่องราชขนแกะทองคำเอาเถิด เขียนไว้ให้แล้ว
ตานี้ก็มาถึงว่า พระอย่างไหน ที่ชนทั้งหลายเขาจะเลือกเปนผู้นำพูดอย่างนักเลงบางบอนก็ต้องว่า_ใจถึง พึ่งได้
พระใจถึงเปนอย่างไร? ก็รับมือกับโจรทั้งหลายได้น่ะสิ_เอาอยู่
พระพึ่งได้เปนอย่างไร? ก็เดือดเนื้อร้อนใจ ภัยลูกปืน ภัยระเบิด ภัยเจ็บข้ ภัยความไม่รู้_แก้ไขได้_เอาอยู่
แล้วทำไมพระนั้นๆจึงใจถึง พึ่งได้ก็ต้องตอบว่าเพราะว่า “มีดี” มีวิชาสมภารน่ะซี นายท่าน เคยสังเกตไหมว่าบางทีวัดละแวกใกล้กัน มีบางวัดนั้นรุ่งเรืองกว่าวัดอื่น อ้านั่นแหละ_นั่นก็เพราะเจ้าวัดเขามี “วิชาสมภาร” ผู้คนเข้าหาล้นวัด ชุมชนเข้มแข็ง ควักสตางค์, ออกแรงงาน, บำรุงเสนาสนะร่วมกุศลกิจชนิดต่างๆกับเจ้าวัดทำสาธารณะประโยชน์ โรงเรียน โรงพยาบาล ไม่มีขัดข้องนำไปสู่การพัฒนาทั้งในทางวัตถุและจิตวิญญาณ ซึ่งก็แล้วแต่สมภารท่านที่ว่าจะเน้นหนักอิทธิคุณไปทางไหน
ของนี้เหมือนว่ามีเจดีย์ทองอยู่กลางป่า กระเดี๋ยว รพช. เขาตัดถนนลาดยางเข้าไปหาเอง พลอยทำสองข้างทางเจริญทางเศรษฐกิจไปด้วย ในขณะที่บางวัดที่เคยรุ่งเรืองเมื่อหมดตัวสมภารมีวิชาแล้ว กลับตกต่ำค่ำลง จะเปนวัดร้างก็เพราะผู้มาสืบตำแหน่งเปนแต่ชื่อ ‘สมภาร’ ไม่มี วิชา “สมภาร”
อันวิชาสมภารนี้ได้ยินมาแต่เดิมในดงขมิ้นวงการสงฆ์เขาพูดกันถึงท่านต่างๆผู้มีบารมีในทางสมณคุณ ซึ่งประกอบไปด้วย
วิชาโลก = คือ = การรู้เห็น การรู้เท่าทันสภาพทางภูมิสภาพทางกายภาพ ชีวภาพ ของโลกอย่างฝรั่งว่า earth ในฐานเปนดาวนพเคราะห์ ในระบบสุริยจักรวาล สมาชิกทางช้างเผือกอวกาศและสิ่งมีชีวิต
วิชาทางโลก = คือ = การรู้ทัน “ทาง” หรือ สภาวะการเปนไปของสังคมผู้คนที่อยู่ในโลก รักโลภ โกรธ หลง ผู้นำ ผู้ตาม สถานการณ์พลวัตอย่างว่า world ในนิยามความหมาย การเปนสัตว์สังคมของมนุษย์ อันอาจเรียกอีกอย่างว่า ‘วิชาคน’
สมภารที่ดีจะช่ำชอง และ เจนจัด ใน 2 วิชานี้ ในขณะที่ วิชาธรรม = คือ = การถ้วนถี่ในข้อสารสาสน์ ซึ่งพระสัพพัญญพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลกและโลกย์ได้ถ่ายทอดคำสอน คำบัญญัติ รสพระธรรม,ปริยัติ, และวิธีการเข้าถึงความจริงแท้ทางศาสนา,ปฏิบัติ, รวมถึงการเข้าถึงธรรมอันเกษม, ปฏิเวธ, เอาไว้ให้ (religion)
วิชาทางธรรม = คือ = การรับรู้ได้ถึงสายใยความเชื่อมโยงระหว่างโลกทางกายและโลก ทางจิต อันเปนสภาวะทางธรรม (ชาติ) ที่สัมพันธแก่กัน สามารถถอดรหัสกลไกความเชื่อมโยงนั้น รู้กันรู้แก้ เพิ่มเติมเสริมลด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างสองโลกได้ เพื่อประโยชน์ในความผาสุกของกายจิตของผู้อาศัยพึ่งพา(spiritual)
สมภารที่ดีก็จะแม่นยำและแน่วแน่ในอีก 2 วิชานี้เช่นกัน
...................................................
พระเดชพระคุณพระราชอุดมมงคล (เอหม่อง อุตตมะรัมโภ) ท่านมีเชื้อสายมอญโดยแท้ สู้อุตสาหะในชีวิตมาแต่ยังเยาว์บวชเปนเณรอยู่วัดเกสละแดนมอญ เฝ้าคอยศึกษาเล่าเรียน กวาดขี้นกขี้คนทำความสะอาดวัดวาอารามขัดเกลาตัวตนมาแต่น้อย ผ่านสถานการณ์แหลมคมทั้งโจรป่า ห่าไข้ ถูกหมายหัวว่าเปนอย่าง CIA สายข่าวฝ่ายตรงข้าม ถูกกระทำย่ำยีลองวิชามาหลายทีหลายคำรบนับไม่ถ้วน
ชั่วแต่ว่าความเด็ดเดี่ยวมั่นคงของท่านทั้งในพระรัตนตรัยและสัจจะอธิษฐาน กลับพาท่านพ้นภัยมาได้อย่างประหลาด
บรรทัดต่อไปนี้ก็จะเล่าสู่ท่านฟังถึงกรณีน่าศึกษาต่างๆในประสพการณ์ชีวิตของบุรุษผู้นี้ เอาใกล้ๆตัวก่อนย้อนจากหลังไปหน้า เช่นว่า ยามหลวงพ่อชราแล้ว ลูกศิษย์ลูกหาขอน้ำมนต์ ท่านก็เสกให้ วิธีการเสกของท่านแม้ไม่ออกแนวเส้นทางสายอิทธฤทธิ์แจ้งๆอย่างหลวงพ่อจง ที่ดึงน้ำจากฝ่ามือกรอกขวด หรือพ่อท่านคล้ายที่ พ่นน้ำมนต์นอกขวดแต่อณูน้ำทะลุผ่านขวดแก้วเข้าไปจนเต็มได้ หรือหลวงพ่อแช่มวัดดอนยายหอมเสกน้ำมนต์ให้เเข็งไม่สามารถเทออกจากขวด/บาตรได้
หลวงพ่ออุตตะมะมีมั่นคงในการแผ่เมตตามาก ท่านมีสมาธิกล้า และไม่ได้แผ่เมตตาอย่างแกนๆตามบทแผ่เมตตาอย่างเราชาวบ้าน ท่านสวดภาวนาไล่ตามบท “เหมือน” ค่อยๆเอามือกวนน้ำเปล่าในกระถางให้ค่อยๆหมุนๆๆแรงขึ้นๆๆจนถึงจุดหนึ่งปะทุขึ้นเปนน้ำพุได้ บทแผ่เมตตาของท่านนั้น 528 บท กรุณา 132 บท มุทิตา 132 บท อุเบกขา132 บท ติดต่อกัน ใช้เวลาร่วม 2 ชั่วโมงต่อครั้ง!! น้ำมนต์จึงสำเร็จผล
(ต่อตอน2)
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 หน้า 18 ฉบับที่ 3,927 วันที่ 1 - 4 ตุลาคม พ.ศ. 2566