นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า ในช่วงฤดูกาลส่งออกผลไม้ในภาคตะวันออกในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้จะมีผลผลิตทุเรียนจากจังหวัดจันทบุรีซึ่งเป็นแหล่งผลิตทุเรียนแหล่งใหญ่ในภาคตะวันออกออกสู่ท้องตลาดมากที่สุดถึง 166,583 ตัน หรือคิดเป็น 41 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตที่ออกมาทั้งหมดตั้งแต่เดือนมกราคม โดยจังหวัดจันทบุรีมีพื้นที่ปลูกทุเรียนจำนวน 264,464 ไร่ เป็นเนื้อที่ให้ผลจำนวน 204,535 ไร่ ซึ่งในปีนี้มีเกษตรกรชาวสวนทุเรียนมายื่นขอรับรองแปลงตามมาตฐาน GAP จำนวน 204,146 ไร่ จำนวน 18,172 แปลง เจ้าหน้าที่ของสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 6 จันทบุรี (สวพ.6)กรมวิชาการเกษตร ได้เร่งตรวจให้การรับรอง แปลง GAP ของเกษตรกรได้ครบทั้งหมด100 เปอร์เซ็นต์ตามจำนวนพื้นที่ที่มาขอยื่นรับรอง
ปีนี้คาดว่าจะมีผลผลิตทุเรียนในจังหวัดจันทบุรีปริมาณมากถึง 398,618 ตัน มากกว่าปี 2563 ที่ให้ผลผลิต 380,446 ตัน ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศจีน โดยในปี 2563 ที่ผ่านมาไทยส่งออกผลไม้ไปจีนรวมปริมาณทั้งสิ้น 1,623,523 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 102,717 ล้านบาท ซึ่งทุเรียนยังคงเป็นผลไม้ไทยที่ได้รับความนิยมจากจีนและมีปริมาณการส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ปริมาณ 618,783 ตัน คิดเป็นมูลค่า 66,017 ล้านบาท
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามแม้ในปีนี้เจ้าหน้าที่ สวพ.6 จะเร่งตรวจรับรองแปลงของเกษตรกรเพื่อให้ทันกับฤดูกาลส่งออกจนได้รับการรับรอง GAP จนครบทั้งหมดตามจำนวนของเกษตรกรแล้ว 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ได้ย้ำเตือนเกษตรกรให้ความสำคัญกับใบรับรอง GAP เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีการสวมใช้ใบรับรอง GAP ของชาวสวนไทยทำให้เจ้าของหมายเลข GAP ที่ถูกสวมเสียหายไปด้วย
โดยเจ้าหน้าที่ของ สวพ.6 ได้แนะนำให้ชาวสวนเขียนรายละเอียดการซื้อขายและเซ็นกำกับในใบสำเนา GAP ที่ส่งให้คนซื้อทุกครั้ง ส่วนเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชของกรมวิชาการเกษตรก็ได้ตรวจสอบการใช้ใบรับรอง GAP ในการยื่นขอใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนส่งออกอย่างเข้มงวด เนื่องจากหากปล่อยให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งอาจเป็นสาเหตุให้จีนระงับการนำเข้าผลไม้จากไทยทั้งประเทศได้
สำหรับในปี 2564 นี้กรมวิชาการเกษตรได้จัดทำแผนการตรวจรับรองแหล่งผลิตพืช GAP รวมจำนวนทั้งสิ้น 120,000 แปลง โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายผลไม้หลักส่งออกที่จำเป็นต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐาน GAP ตามเงื่อนไขของประเทคู่ค้า เช่น ลำไย ทุเรียน มังคุด ลิ้นจี่ และมะม่วง ซึ่งผลผลิตส่วนใหญ่จะส่งออกไปประเทศจีน โดยปัจจุบันจีนได้อนุญาตให้นำเข้าผลไม้จากประเทศไทยรวมจำนวนทั้งสิ้น 22 ชนิด ซึ่งสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท / ปี โดยในเดือนสิงหาคมนี้จะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการขึ้นทะเบียนสวนและโรงคัดบรรจุผลไม้กับจีนอีก 3 ชนิด คือ มะขาม เงาะ และส้มโอ ซึ่งจะทำให้การส่งออกผลไม้ไปจีนจะต้องเป็นสวนที่ขึ้นทะเบียนและโรงคัดบรรจุที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้นจึงจะส่งออกไปจีนได้
ดังนั้น จึงได้มอบหมายให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรในแต่ละพื้นที่แจ้งให้เกษตรกรได้รับทราบและรีบสมัครเข้าสู่กระบวนการตรวจรับรองตามมาตรฐาน GAP โดยเจ้าหน้าที่ของกรมจะเร่งรัดการตรวจประเมินเพื่อขึ้นทะเบียนสวน GAP และโรงคัดบรรจุผลไม้ GMP พืชทั้ง 3 ชนิดให้แก่เกษตรกรอย่างเร่งด่วนก่อนเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออก ซึ่งจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีแปลงของเกษตรกรที่ได้รับการรับรองแหล่งผลิตพืช GAP รวมจำนวนทั้งสิ้น 230,574 แปลง คิด เป็นพื้นที่จำนวน 1,517,640 ไร่ ส่วนโรงงานผลิตสินค้าพืชที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตามมาตรฐาน GMP มีจำนวนทั้งสิ้น 1,841 โรงงาน
“มาตรการต่างๆ ที่นำมาใช้ไม่ต้องการให้เกิดความยุ่งยากในการส่งออกแต่ต้องการให้ประเทศคู่ค้าเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของผลไม้ไทย ซึ่งคุณภาพเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถรักษาตลาดส่งออกผลไม้ของประเทศไว้ได้อย่างยั่งยืน ดังนั้นจึงขอเชิญชวนให้เกษตรกรเร่งสมัครเข้าสู่การรับรองตามมาตรฐาน GAP ได้ที่สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรทั้ง 8 เขต โดยกรมจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่เร่งตรวจรับรองให้เกษตรกรได้รับการรับรองโดยเร็วและให้มากที่สุด ซึ่งในปี 2565 กรมวิชาการเกษตรได้ตั้งเป้าหมายในการตรวจรับรองแปลง GAP ไว้ทั้งหมด 150,000 แปลง” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว