ปลัดคลังแจงหลักการผูกพันงบปี 67 “แจกเงินดิจิทัล” ยันไม่ขัดกฎหมาย

02 ส.ค. 2567 | 09:05 น.
อัพเดตล่าสุด :02 ส.ค. 2567 | 10:04 น.

ปลัดคลังแจงหลักการผูกพันงบปี 67 “แจกเงินดิจิทัล” ไปใช้ในปีงบ 68 ไม่ขัดกฎหมาย ชี้ผูกพันโครงการกับประชาชน ระบุเห็นจำนวนใช้เงินจริง 22 ก.ย.นี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การใช้งบประมาณปี 67 เพื่อจัดทำโครงการดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท คาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายได้ในช่วงเดือนธ.ค.ของปีนี้นั้น ยืนยันว่า สามารถทำได้ ไม่ขัดต่อกฎหมายงบประมาณ

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง

ซึ่งวิธีดำเนินการจะเป็นรูปแบบการผูกพันงบปี 67 เพื่อไปใช้ในปีงบ 68 โดยเป็นการผูกพันโครงการ จากประชาชนที่เข้ามาลงทะเบียน และได้รับสิทธิ์ดิจิทัล วอลเล็ต ซึ่งจะต้องรอดูจำนวนประชาชนที่ได้รับสิทธิ์โครงการในวันที่ 22 ก.ย.นี้ เพื่อดำเนินการผูกพันโครงการ

ทั้งนี้ งบประมาณปี 67 ที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในดิจิทัล วอลเล็ต วงเงินรวม 1.65 แสนล้านบาท แบ่งเป็น

  • มาจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท
  • งบจากการบริหารจัดการ 4.3 หมื่นล้านบาท

ฉะนั้น การผูกพันโครงการจึงต้องรอดูจำนวนผู้ผ่านเกณฑ์รับสิทธิ์ 16.5 ล้านคนก่อน ส่วนจำนวนประชาชนที่ผ่านเกณฑ์รับสิทธิ์นอกเหนือจากจำนวนดังกล่าว ก็จะใช้งบประมาณในปีงบ 68 

“วันนี้ที่ประชาชนเข้ามาลงทะเบียนดิจิทัล วอลเล็ต ยังไม่สามารถผูกพันโครงการได้ แต่จะต้องไปตรวจสอบ ยืนยันว่าประชาชนผ่านเกณฑ์ได้เข้าร่วมโครงการ จึงจะสามารถผูกพันได้ เนื่องจากประชาชนได้รับเงินดิจิทัล 10,000 บาทแล้ว และประชาชนก็จะไปเริ่มใช้จ่ายในช่วงเดือนธ.ค.67 ซึ่งกฎหมาย และกฤษฎีกาดูรายละเอียดแล้วว่าสามารถทำได้” 

สำหรับการผูกพันโครงการเพื่อนำงบปี 67 มาใช้ในปี 68 นั้น เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ไม่มีสัญญาการลงนามใดๆ เหมือนกับโครงการลงทุนของรัฐ ที่จะต้องผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง

แต่พันธสัญญาของรัฐบาล คือ การตอบกลับประชาชนไปว่าท่านได้รับสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ และขั้นตอนต่อไปกรมบัญชีกลางก็จะเป็นผู้ไปออกระเบียบรองรับว่าการดำเนินการลักษณะนี้สามารถผูกพันเงินให้ได้ 

ขณะที่การใช้งบปี 68 วงเงิน 2.85 แสนล้านบาท งบประมาณอีกหนึ่งวงเงินที่นำมาดำเนินการดิจิทัล วอลเล็ตนั้น รัฐบาลก็ได้มีการตั้งงบประมาณเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับจำนวนประชาชนที่ผ่านเกณฑ์ว่ามีจำนวนทั้งหมดเท่าใด

และรัฐบาลก็จะไปบริหารจัดการต่อไป ยืนยันว่า แม้ประชาชนจะเข้าร่วมโครงการ 50 ล้านคน ตามกรอบโครงการ ก็สามารถบริการจัดการได้ โดยจำนวน 45 ล้านคน เป็นตัวเลขคาดการณ์ที่ประชาชนจะเข้ามาใช้สิทธิ์