“พิชัย” เผยแจกเงินดิจิทัล ”บัตรสวัสดิการ-ผู้พิการ“ 14.5 ล้านคน หลัง 20 ก.ย.

09 ก.ย. 2567 | 08:00 น.
อัพเดตล่าสุด :09 ก.ย. 2567 | 08:01 น.

”พิชัย ชุณหวชิร“ ขุนคลัง เผยแจกเงินดิจิทัล “บัตรสวัสดิการ-ผู้พิการ” 14.5 ล้านคน คาดหลัง 20 ก.ย.นี้ ชี้วอลลุ่มเทรดหุ้นไทยเกือบแสนล้าน นักลงทุนเชื่อมั่นรัฐบาล-กองทุนวายุภักษ์ชัดเจน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า โครงการเติมเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท จะเริ่มดำเนินการสำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวสัดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้พิการก่อน รวมจำนวน 14.5 ล้านคน โดยคาดว่าจะโอนเงินให้หลังจากวันที่ 20 ก.ย.เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ในรายละเอียดนั้นจะต้องรอนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นากยกรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภาฯ อีกครั้ง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

“ภายในเดือนก.ย.นี้ เราจะทำการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต แน่นอน สำหรับกลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการ จำนวน 13.5 ล้านคน และผู้พิการอีกจำนวน 2.2 ล้านบาท เมื่อนับความซ้ำซ้อนของ 2 กลุ่มดังกล่าวแล้ว จะเหลือตัวเลขกลมๆ รวมประมาณ 14.5 ล้านคน”

ส่วนกรณีวอลลุ่มเทรดเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเกือบ 1 แสนล้านบาทนั้น มองว่าเกิดจากปัจจัยความเชื่อมั่นของนักลงทุน และการจัดตั้งรัฐบาลที่ดำเนินการได้รวดเร็ว รวมทั้งจะมีการแถลงนโยบายในเร็วๆ นี้

ขณะเดียวกัน ยังมีการปรับกติกาการลงทุน เช่น การชอร์ตเซล รวมทั้งยังทีความชัดเจนในเรื่องการลงทุนกองทุนรวมวายุภักษ์ ที่จะเปิดให้รายย่อยเข้ามาซื้อได้กลางเดือนก.ย.นี้ แล้วจะเข้าเทรดในตลาดหุ้นวันที่ 1 ต.ค.67

”อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วอลลุ่มเข้ามาในตลาดหุ้นไทย ยังมาจากนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง จึงเข้ามาลงทุน ซึ่งวอลลุ่มการเข้ามาลงทุน 80,000 ล้านบาทนั้น ก็เป็นปริมาณวงเงินเดิมที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยในอดีต ซึ่งการที่จะให้วอลลุ่มเหล่านั้นอยู่กับเราต่อไปก็ต้องสร้างความเชื่อมั่น“

ทั้งนี้ มองว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้คนจนกับคนรวยห่างกันขึ้น ส่วนตัวจึงมองว่าหากกลไกการเก็บภาษีบูรณาการทั้งระบบ โดยใช้ Negative Income Tax เพื่อนำบางส่วนไปดูแลรายได้น้อยหรือไม่ 

นอกจากนี้ จะมีการพิจารณาภาษีบริโภค ซึ่งทุกประเทศก็มีการทบทวนเรื่อยๆ เราก็ต้องนำมาดูเหมือนประเทศอื่น ซึ่งเป็นช่องว่างของคนรายได้น้อย ขณะที่การพิจารณาทบทวนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีนิติบุคคล ต้องดูความสามารถในการแข่งขันของประเทศ