ผมชวนพูดคุยเรื่องนี้ลากยาวมาหลายตอน แต่เศรษฐกิจจีนก็ยังมีอีกหลายประเด็นร้อนให้พูดถึงกันอยู่ เราไปถกกันต่อเลยครับ ...
“วัยรุ่นเตะฝุ่น” นับเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่หลายฝ่ายกังวลใจ ทั้งนี้ จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า อัตราการว่างงานของคนเมืองก็อาจดูสูง หากเทียบกับมาตรฐานของจีนในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มีแนวโน้มลดต่ำลง
และหลายคนยังนำเอาตัวเลขอัตราการว่างงานของคนเมือง ที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี ที่ทะยานแตะระดับกว่า 20% ไปกล่าวอ้าง จนทำให้หลายฝ่ายเข้าใจผิดคิดว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นอัตราการว่างงานโดยรวมของจีน!
หากเราศึกษาถึงพฤติกรรมของวัยรุ่นยุคใหม่ ก็อาจรู้สึกได้ว่า คนรุ่นใหม่มีระดับการเป็นผู้ประกอบการสูงมาก โดยเลือกที่จะหาลู่ทางและโอกาสการเริ่มต้นธุรกิจในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสตาร์ตอัพ
ยิ่งเมื่อผนวกกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง อันเนื่องจากวิกฤติโควิดในช่วง 3 ปีหลัง เราจึงเห็นอัตราการว่างงานของวัยรุ่นในระดับสองหลักในหลายประเทศทั่วโลก ยกตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร คอสตาริกา ชิลี และ โคลัมเบีย
ในกรณีของจีน ผมรู้สึกว่า วัยรุ่นจีนมีระดับความเป็นผู้ประกอบการสูงกว่าของชาติอื่นเป็นทุนเดิมอีกด้วย และจีนก็พึ่งผ่านพ้นการปิดประเทศที่ยาวนานในช่วงวิกฤติโควิด ทำให้วัยรุ่นจีน “เต็มใจ” ที่จะ “ว่างงาน” เพื่อรอดูทิศทางการเปลี่ยนแปลงของตลาดไปอีกระยะหนึ่ง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ เด็กจีนยุคใหม่นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เพราะทั้งคนที่มีงานทำ และมองหางานใหม่ ต่างพยายามพัฒนาความสามารถของตนเองอยู่ตลอดเวลา
จากสถิติพบว่า วัยรุ่นจีนหันมาให้ความสนใจในการศึกษาต่อ MBA และสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ขณะเดียวกัน ราว 1 ใน 3 ของคนเหล่านี้ ได้เริ่มรับเอาเทคโนโลยีเอไอ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานและการดำรงชีวิตกันแล้ว สัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ซึ่งนั่นหมายความว่า คนจีนรุ่นใหม่จะไม่เพียงมีเงินทุน ความรู้ เครือข่ายธุรกิจ และการสนับสนุนของภาครัฐเท่านั้น แต่ยังจะมีเทคโนโลยียุคใหม่ที่มาเป็นเสมือน “ที่ปรึกษา” ที่รอบรู้สำหรับการให้คำแนะนำในการประกอบธุรกิจ
จีนยังเผชิญปัญหาด้านการค้าระหว่างประเทศด้วยไม่แพ้กัน โดยจีนไม่สามารถโมเมนตัมของการเติบโตดังเช่นในอดีตไว้ได้ กล่าวคือ การส่งออกของจีนในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 ขยายตัวเพียง 3.7% ขณะที่การนำเข้าลดลง -0.1% ของช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ มูลค่าการค้าฯ ของจีนยังคงเติบโตในระดับที่น่าพอใจในบางกลุ่มประเทศ อาทิ ประเทศตามแนวหนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 10% และอาเซียน 5.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดี พอตัวเลขการค้าระหว่างประเทศในเดือนที่ 7 ประกาศออกมาสู่สาธารณะ ก็สร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง การค้าระหว่างประเทศของจีนชะลอตัวลงต่อเนื่อง 3 เดือน (พฤษภาคม-กรกฎาคม)
ขณะที่มูลค่าการส่งออกและนำเข้าของจีนก็ดิ่งวูบลงถึงราว -17% และ -12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
สิ่งนี้สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจและตลาดโลกที่ชะลอตัวลง และความท้าทายจากปัจจัยเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ
สหรัฐฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักของจีนในช่วงหลายปีหลัง มีมูลค่าการนำเข้าลดลงถึง -25% ขณะที่จีนก็นำเข้าจากสหรัฐฯ ลดลงในระดับสูงเช่นกัน สิ่งนี้อาจสะท้อนถึงระดับ “การพึ่งพา” และ “การตอบโต้” ทางเศรษฐกิจระหว่างกันที่มีอยู่สูง
ยิ่งในระยะหลัง จีนเองก็ดูเหมือนจะ “ร่วมมือ” กับความพยายามของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรใน “การแยกขั้ว” โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลจีนก็แสดงท่าทีสนับสนุนกับการปลดรายชื่อกิจการของจีน จากตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ
และเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีนก็ออกกฎหมายหลายฉบับที่ “ออกโรง” ปกป้องคุ้มครองคนจีนโพ้นทะเลในต่างประเทศ และ “เปิดช่อง” ให้สามารถตอบโต้บุคคล กิจการ และองค์การระหว่างประเทศต่อการกระทำใดๆ ที่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเสถียรภาพความมั่นคง เศรษฐกิจ และ สังคมของจีน กฎหมายเหล่านี้ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่จีนมีกฎหมายที่ “ก้าวข้าม” เส้นพรมแดนจีนออกสู่ต่างประเทศ
นอกจากนี้ ในการประชุมสุดยอด BRICS ณ เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อปลายเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา จีนร่วมกับรัสเซียยังพยายามจับมือกับประเทศกำลังพัฒนาอื่น เพื่อคานอำนาจกับกลุ่ม G7 โดย “ปลุกเร้า” การขยายความร่วมมือของกลุ่ม BRICS ในหลายด้าน อาทิ การเพิ่มจำนวนสมาชิก และการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ
เหล่านี้อาจเป็นปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำการแยกขั้ว ที่ถ่างกว้างมากขึ้น ดังนั้น หากเราไม่อาจพัฒนาเป็น “กระดานดีด” ด้านการผลิตให้แก่สองประเทศได้ ไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างมาก จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีนในระยะยาว
เพราะนั่นอาจหมายถึง เม็ดเงินลงทุนและกำลังซื้อมหาศาลของสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่หดหายไป และเป็นสัญญาณเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในระยะยาว รวมทั้งยังจะเป็นความท้าทายต่อรัฐบาลชุดใหม่ของไทยในการพลิกฟื้นสถานการณ์การส่งออกของไทย
กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยก็ต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด และคณะผู้แทนการค้าลุยตลาดต่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออกระยะสั้น ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยในเวทีโลก
อีกประเด็นหนึ่งก็คือ ผมเห็นนักวิชาการของไทยหลายท่านเดินตามข้อมูลและความเห็นของสื่อตะวันตก ที่ตีข่าวการชะลอตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ โดยประเมินว่า จีนจะพลาดเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ หรืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ จะไถลลงไปถึงระดับ 3% ซึ่งก็ทำเอาผมมึนไปกับบทสรุปนี้ไปด้วย
ผู้นำของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในภูมิภาคเอเซียตะวันออก อย่างญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ก็นัดหารือในประเด็นความมั่นคงทางการทหาร ที่แคมป์เดวิด มลรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐฯ หรือ แม้กระทั่งการเดินทางเยือนไต้หวัน ของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ แน่นอนว่าการ
กระทำเหล่านี้เพิ่มแรงกดดันในปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ต่อจีนอย่างต่อเนื่อง
นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของ “ทฤษฎีสมคบคิด” ที่พยายามมุ่ง “ดิสเครดิต” จีน และ “กลบข่าว” ความสำเร็จในการประชุมสุดยอด BRICS! เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่แท้จริง ไม่ได้ย่ำแย่ขนาดไร้หาทางออก และรัฐบาลจีนก็ “มองข้าม” ไม่ยอมหลงไปตามกระแสดังกล่าวแต่อย่างใด
และอาจเป็นไปได้ว่า การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของจีนดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐบาลจีนไม่มีความพร้อมและสรรพกำลังมากพอ หรือไม่คิดจะทำอะไรเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
แต่ผมเชื่อมั่นว่า หากไม่มีวิกฤติใหญ่ครั้งใหม่เข้ามา เศรษฐกิจจีนจะบรรลุเป้าหมายการเติบโตที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน จีนยังมี “หน้าตัก” ใหญ่มากพอที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ดำเนินต่อไปอย่างมีเสถียรภาพ
ขณะเดียวกัน ผมคิดว่า หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน ที่คาดว่าจะเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมสำคัญ อาทิ การประชุมสุดยอดอาเซียน และ G20 จะไม่ยอม “เสียเครดิต” ในปีแรกของการรับตำแหน่งแบบง่ายๆ
ประการสำคัญ ผมยังคิดต่อว่า สื่อตะวันตกและผู้คนจำนวนมากยังขาดความเข้าใจใน “ศักยภาพ” และ “มือที่มองไม่เห็น” ทางเศรษฐกิจของจีนอยู่อีกมาก
แต่รัฐบาลจีนก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ จีนต้อง “เดินหน้า” มาตรการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างเต็มกำลัง ทั้งนี้ ผมประเมินว่า จีนยังจะสามารถลดสัดส่วนสำรองเงินสดธนาคารพาณิชย์ และลดอัตราดอกเบี้ย 0.1% ได้อีก 2 ครั้งเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจและลดค่าใช้จ่ายทางการเงินแก่ผู้ประกอบการ
การเสริมสร้างภาพลักษณ์ในสายตาของชาวโลก และใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเซี่ยนเกมส์ ณ นครหังโจว ให้ขยายผลในเชิงบวกต่อสินค้าและบริการของจีนในตลาดต่างประเทศ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่จีนในวงกว้าง
จีนให้ความสำคัญกับงานนี้มาก ถึงขนาด สี จิ้นผิง ผู้นำจีนจะไปเป็นประธานในพิธีเปิด และต้อนรับแขกวีไอพีจากจีน และต่างประเทศด้วยตนเอง แต่หลายคนกำลังรอลุ้นกันว่า จีนจะประกาศเปิดตัว “เงินหยวนดิจิตัล” ให้ชาวต่างชาติได้สัมผัสในงานใหญ่นี้อย่างไร
นอกจากนี้ ในช่วงหลายเดือนที่เหลืออยู่ของปีนี้ จีนยังสามารถใช้กลไกและทรัพยากรที่มีอยู่มากมาย และวิธีการที่สร้างสรรค์ในการคลี่คลายวิกฤติและพลิกฟื้นสถานการณ์เศรษฐกิจได้
ยกตัวอย่างเช่น ในการแก้ไขวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ หากรัฐบาลกลางและท้องถิ่นของจีนคุยกันลงตัว จีนก็อาจปลดล็อกวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และยืดอายุสินเชื่อออกไป ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน
รัฐบาลจีนยังอาจ “ไฟเขียว” การปล่อยสินเชื่อแก่กิจการอสังหาริมทรัพย์ในโครงการที่มีศักยภาพ เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์การขาดกระแสเงินสด และยังอาจเพิ่มอุปสงค์ครั้งใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนควบคู่กันไป
อาทิ การ “เดินหน้า” การพัฒนาชุมชนเมืองระลอกใหม่ การปรับลดสัดส่วนเงินดาวน์แก่ผู้ซื้อบ้าน การออกมาตรการกระตุ้นการซื้อ “บ้านหลังแรก” และ การปรับปรุง “บ้านเดิม” รวมทั้งการผ่อนคลายเงื่อนไขการซื้อบ้านหลังที่สองในหัวเมืองใหญ่
เราคงต้องติดตามกันต่อว่า รัฐบาลจีนจะปล่อยมาตรการเด็ดอะไรออกมาอีกบ้าง และจะสามารถบรรลุเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ อย่างไร ...
เกี่ยวกับผู้เขียน : ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมส่งเสริมการลงทุนและการค้าไทย-จีน ผู้เชี่ยวชาญที่สั่งสมความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับตลาดจีน มุ่งหวังนำข้อมูลและมุมมอง ความคิดเห็นเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ การตลาดและอื่น ๆ ที่อยู่ในกระแสของจีนมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่าน เพื่อเราจะไม่ตกขบวน “รถไฟความเร็วสูง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจีน