เปิดแถลงการณ์กลุ่มไทยภักดี

21 ต.ค. 2563 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :21 ต.ค. 2563 | 11:56 น.

"หมอวรงค์" โพสต์แถลงการณ์กลุ่มไทยภักดี เรื่อง​ หยุดสร้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องความรุนแรงปกป้องผู้กระทำผิดกฎหมายและยุติการสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการใช้ความรุนแรง

21 ตุลาคม 2563 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ใจความว่า 

 

แถลงการณ์กลุ่มไทยภักดี

 

เรื่อง​ หยุดสร้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องความรุนแรงปกป้องผู้กระทำผิดกฎหมายและยุติการสร้างความเข้าใจผิดเรื่องการใช้ความรุนแรง

 

ตามที่มี​ กลุ่ม​อาจารย์​มหาวิทยาลัย​ นักวิชาการ​ แพทย์​ และผู้มีชื่อเสียงในสังคมจำนวนหนึ่ง​ รวมถึง​ พรรคการเมือง​ อย่างพรรคเพื่อไทย​ ออกแถลงการณ์ต่างกรรมต่างวาระ​ ว่าการสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้ประท้วงคณะราษฎรที่สี่แยกปทุมวันเมื่อวันที่​ 16​ ต.ค.2563​ นั้น​เป็นการใช้ความรุนแรง​ และเรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ประท้วงคณะราษฎรที่เป็นเยาวชน​ นักเรียน​ นักศึกษา

 

แถลงการณ์เหล่านี้ล้วนบิดเบือนข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ​ กล่าวคือ

 

การสลายการชุมนุมในครั้งนี้​เป็นไปตามหลักปฎิบัติสากล​ เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอน​และวิธีการที่มุ่งหวังให้เกิดความรุนแรงและความเสียหายให้น้อยที่สุด​ ดังจะเห็นได้ว่าเป็นปฏิบัตการที่แตกต่างจากการสลายการชุมนุมของกลุ่ม​ พธม.​ที่หน้าทำเนียบ​ในวันที่​ 7​ ต.ค.​ 2551​ หรือการสลายการชุมนุม​ "ม็อบเสธอ้าย" ในวันที่​ 24​ พ.ย.2555​ หรือ​ การสลายการชุมนุมของกลุ่ม​ นปก.​ที่หน้าบ้านสี่เสาร์ฯ​ ในวันที่​ 22​ ก.ค.2550​ ที่มีการใช้กำลัง​ แก๊สน้ำตา​ และอาวุธ​ เข้าจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรง​ จนมีการบาดเจ็บ​ บาดเจ็บสาหัส​ และเสียชีวิตของผู้ชุมนุม​ ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวมิได้ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

 

นอกจากนี้​ที่ระบุว่าผู้ชุมนุมชุมนุมโดยสงบ​ ปราศจากอาวุธ​ นั้นไม่ใช่ความจริงเพราะปรากฎภาพ​ คลิป​ ผู้ชุมนุมได้ตอบโต้เจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงรวมถึงมีการใช้เครื่องมือ​ที่สามารถเป็นอาวุธได้ตอบโต้เจ้าหน้าที่

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รัฐสภาถก 26-27 ต.ค.หาทางออกประเทศ กมธ.ล้มขยายเวลาศึกษาญัตติรธน.

จับแล้ว "สุรนาถ แป้นประเสริฐ" คดี ม.110 ขัดขวางขบวนเสด็จ

ทางออกประเทศเริ่มต้นจากไม่ลากไปสู่ความรุนแรง

ส่องข้อเสนอ ผ่าทางออก วิกฤติประเทศ 

 

ที่สำคัญไปกว่านั้น​ การใช้ความรุนแรง​นั้นมิใช้เพียงการใช้ความรุนแรงต่อร่างกาย​ ทรัพย์สิน​ สิ่งของ​ เพียงอย่างเดียว​ หากต้องรวมถึงการใช้ความรุนแรง​ต่อสภาพจิตใจ​ของผู้ถูกกระทำ​ การสร้างความเกลียดชัง​ การใช้ถ้อยคำหยาบคาย​ การข่มขู่คุกคาม​ด้วย​ ซึ่งปรากฏเป็นข้อเท็จจริงว่ากลุ่มผู้ชุมนุมปลดแอก​ หรือ​ คณะราษฎร​ 63​ ได้กระทำมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นในการชุมนุม​ หรือ​ โลกออนไลน์​ เช่น​ การคุกคาม​ หรือ​ บูลลี่​ คนดัง​ องค์กร​ ห้างร้าน​ ที่เห็นต่าง​จากตน​ การคุกคามสร้างความเกลียดชังต่อตัวบุคคลอย่าง​นายกรัฐมนตรี​ หรือการาร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งได้ดำเนินการมาเป็นลำดับ​ ต่อเนื่อง

แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ​ การเข้าไปขัดขวาง​ขบวนเสด็จฯ​ ของพระราชินีและพระองค์ที โดยการตะโกนถ้อยคำที่หยาบคาย​อย่างรุนแรง​ ซึ่ง​เป็นข้อเท็จจริงอีกเช่นกันว่า​ ได้มีคลิป​ ภาพ​ เสียง​ของกลุ่มผู้กระทำปรากฎออกมาและได้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำดังกล่าวในข้อหาร้ายแรง

 

แต่ในแถลงการณ์เหล่านั้น เห็นว่าการสลายการขุมนุมโดยการฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม​เป็นความรุนแรง​แต่​กลับไม่ตระหนักถึงความรุนแรงจากการเข้ารุมล้อม​ ข่มขู่​ คุกคามรถพระที่นั่ง​ทั้งๆที่พระราชินีและพระองค์ที​ ที่ถูกคุกคามนั้นเป็นเพียง สตรีและเยาวชน​ เท่านั้น

 

โดยหาได้คิดโดยสำมัญสำนึกหรือไม่ว่า​ แท้จริงแล้วความรุนแรงโดยการสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในใจของคนนั้นคือ​ ความรุนแรงที่เลวร้ายที่สุด​ เพราะจะเป็นมูลเหตุ​ เป็นต้นตอ​ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอื่น​ ด้วยคำพูด​ หรือ​ ด้วยการกระทำประทุษร้ายต่อกัน

จึงขอเรียกร้องให้​ กลุ่ม​อาจารย์​มหาวิทยาลัย​ นักวิชาการ​ แพทย์​ ผู้มีชื่อเสียง​ และนักการเมือง​ ยุติการสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคมให้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองเฉพาะที่ตนเองสนับสนุนเพียงด้านเดียว​ แต่มองไม่เห็นความรุนแรงที่ผู้ชุมนุมกระทำต่อขบวนเสด็จ​ และมุ่งประทุษร้ายต่อพระราชินีและพระองค์ทีฯ​ เพื่อให้สังคมได้ตระหนักรับรู้ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาจริง​ และไม่นำไปสู่การปกป้องผู้กระทำผิดกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด​โดยอ้างวาทกรรมบิดเบือนเรื่องการถูกคุกคาม​ หรือการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน​

 

และขอให้สนับสนุนการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำผิดไม่ว่าจะมีวัยวุฒิแค่ไหนตามขั้นตอนหลักปฏิบัติสากล​ เพื่อทำให้บ้านเมืองคงไว้ซึ่งหลักนิติรัฐ​ นิติธรรม​ มิใช่​ ความเป็นอนาธิปไตยที่ใครจะนึกจะทำอะไรก็ทำ​โดยคิดว่าตัวเองจะไร้ความผิด​เพราะจะมีคนออกมาปกป้องโดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง​ได้อีกในอนาคต