สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยผลการวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งจนกลายเป็นวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น นับตั้งแต่รัสเซียได้เริ่มเข้าปฏิบัติการทางการทหารในยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ต่อชีวิตของประชาชนและทรัพย์สินมากมายมหาศาลของทั้งสองประเทศ แต่ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังได้ส่งผลกระทบซ้ำเติมต่อระบบเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากทั้งวิกฤตโรคโควิด-19 และวิกฤตราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น
โดยได้ส่งผลให้ระดับราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์หลายชนิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้อัตราเงินเฟ้อของหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งไทยเร่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งดังกล่าวยังนำไปสู่การดำเนินมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของหลายประเทศผ่านในรูปของมาตรการทางการเงินการธนาคาร มาตรการทางการค้าและการประกอบการธุรกิจ ล่าสุดการประกาศยกเว้นการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย และนำไปสู่การดำเนินมาตรการตอบโต้ของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ผลกระทบของความขัดแย้งต่อเศรษฐกิจไทย สามารถสรุปได้ 4 เรื่องสำคัญ ประกอบด้วย
1. ราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ได้แก่ ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และราคาในหมวดสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะสินค้าที่รัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกหลักทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตร อาทิ ปุ๋ยเคมี ข้าวสาลี ข้าวโพด รวมถึงสินแร่อื่น ๆ (แพลเลเดียมและนิกเกิล) ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและระดับราคาสินค้าสูงขึ้น และเป็นข้อจำกัดต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ
2.การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
แบ่งเป็นผลกระทบทางตรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจรัสเซียและยูเครน และผลกระทบทางอ้อมจากการชะตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักโดยเฉพาะสหภาพยุโรปหากมาตรการคว่ำบาตรทวีความรุนแรงและกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวของไทย
3.ความผันผวนของตลาดการเงินโลก
เนื่องจากการลดลงของความเชื่อมั่นของนักลงทุนจนนำไปสู่การปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุน เห็นได้จากการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์สำคัญทั่วโลก ขณะเดียวกันธนาคารกลางประเทศเศรษฐกิจหลักโดยเฉพาะสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้นจนอาจส่งผลต่อสภาพคล่องในตลาดและความผันผวนของตลาดการเงินโลก
4.การหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตโลก
ท่ามกลางสถานการณ์การความขัดแย้งที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงและหากมีแนวโน้มยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตโลกและต้นทุนการผลิตทั้งในด้านการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ การผลิตสินค้าเกษตรและสินค้าภาคอุตสาหกรรม
รวมถึงภูมิทัศน์การเมือง และการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการซ้ำเติมปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่ยังคงยืดเยื้อ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในภาพรวมและเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม สศช. ได้แนะนำแนวทางการตั้งรับ โดยเฉพาะการบริหารเศรษฐกิจในปี 2565 ควรให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1.การรักษาแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ประกอบด้วย
2.การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง ประกอบด้วย
3.การรักษาแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกสินค้า ประกอบด้วย
4.การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ประกอบด้วย
5.การขับเคลื่อนการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ
6.การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร ประกอบด้วย
7.การติดตาม เฝ้าระวัง และเตรียมมาตรการรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก