วันนี้ (24 กรกฎาคม 2566) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน หรือ กนส. เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2566 ซึ่งมีวาระสำคัญเพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย
ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นว่า ตลาดตราสารหนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ที่มีมูลค่าสูงกว่าปีก่อนและการเพิ่มขึ้นของจำนวนบริษัทที่ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและแนวโน้มอันดับเครดิต (credit rating and outlook) ในระยะหลังจากปัจจัยเสี่ยงเฉพาะราย
ขณะที่ตลาดทุนมีความผันผวนเพิ่มขึ้นจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศและปัญหาธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน
ขณะเดียวกันยังมีความเห็นว่า แม้ผลกระทบต่อระบบการเงินยังอยู่ในวงจำกัดและตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนโดยรวมยังมีเสถียรภาพ แต่ในระยะข้างหน้า ยังต้องติดตามพัฒนาการของตลาดการเงินและความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ออกตราสาร รวมถึงให้ความสำคัญกับการร่วมมือระหว่างองค์กรกำกับดูแลในการประเมินผลกระทบ การเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ และการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
อย่างไรก็ดีเพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างรวดเร็วและทันการณ์หากเกิดสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งสถาบันการเงิน ตลาดการเงิน บริษัทประกันภัย และระบบการเงินในเวลาเดียวกัน เช่น ปัญหาจากการดำเนินงานของธุรกิจขนาดใหญ่
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงมาตรการยกระดับการกำกับดูแลและธรรมาภิบาลของผู้ที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ทั้ง บริษัทมหาชน หรือ บริษัทจำกัดที่ออกหลักทรัพย์ในตลาดทุน บริษัทผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัทจัดอันดับเครดิต เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน
แนะรับมือความเสี่ยงที่ไม่เคยเกิด
ขณะเดียวกันแม้สถาบันการเงิน ตลาดการเงิน และบริษัทประกันภัย โดยรวมมีสภาพคล่องและฐานะการเงินที่เข้มแข็งเพียงพอรองรับสถานการณ์ที่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคาดมากภายใต้การทดสอบภาวะวิกฤตประจำปี 2566 ที่ ธปท. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยได้จัดทำร่วมกัน
แต่ในระยะต่อไปการเตรียมการรับมือของผู้กำกับดูแลควรครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจมีรูปแบบแตกต่างจากที่เคยเกิดขึ้น เช่น กรณีวิกฤตสภาพคล่องจากการไหลออกของเงินฝากอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เคยเป็นในอดีต หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้ระบบการเงินได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง แม้โอกาสที่จะเกิดขึ้นในไทยอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
ระบบการเงินไทยกำลังเจอความเสี่ยงสูง
ธปท. ระบุข้อมูลด้วยว่า ระบบการเงินไทยปัจจุบันยังมีเสถียรภาพ แต่ยังเผชิญกับความเสี่ยงที่อาจสูงขึ้นในระยะต่อไปจาก 2 ปัจจัย คือ
ตามติดฐานะการเงิน SMEs
เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนส่งผลให้รายได้และฐานะการเงินโดยรวมของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจมีแนวโน้มปรับดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ครัวเรือนบางส่วนยังเปราะบางจากรายได้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่และค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมถึงยังต้องติดตามฐานะการเงินของ SMEs ในกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าจากช่วงสถานการณ์โควิด 19 และกลุ่มที่อาจได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอลงตามเศรษฐกิจโลก
ที่ประชุมประเมินว่า แม้ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและ SMEs ดังกล่าวอาจส่งผลให้คุณภาพสินเชื่อบางกลุ่มมีแนวโน้มด้อยลงบ้าง แต่สถาบันการเงินสามารถบริหารจัดการหรือดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ได้ และจะไม่นำไปสู่หนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด (NPL cliff)
ข้อสรุปจากการหารือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน จะร่วมกันติดตามและประเมินความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด และพร้อมใช้นโยบายที่เหมาะสมและทันการณ์ในการดูแลระบบการเงินไทยให้มีเสถียรภาพ สามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน