นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU)เปิดเผยว่า หลังจากที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินปัจจัยพื้นฐานจากเกือบ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่ประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯนั้น คาดว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้ค่าเงินบาทจะพลิกกลับมาอ่อนค่า
โดยมีเป้าหมายสิ้นปีอยู่ที่ประมาณ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จาก 2 ปัจจัย คือ
ดังนั้น นักลงทุนจะต้องติดตามปัจจัยเหล่านี้อย่างใกล้ชิด ทั้งการประชุม Fed ครั้งต่อไปในวันที่ 18 กันยายน และการโต้วาทีของผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 10 กันยายนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยชี้ชะตาต่อค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2567
“ตลาดซื้อขายล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯชี้ว่า นักลงทุนคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลงรวม 1% ในการประชุม Fedที่เหลือเพียง 3 ครั้งในปีนี้ แสดงให้เห็นว่าตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยมากเป็นพิเศษหรือลดดอกเบี้ยประมาณ 50bps ในการประชุมครั้งใดครั้งหนึ่งในปีนี้"
TISCO ESU มองว่า มีโอกาสน้อยที่จะเป็นไปตามตลาดคาด เพราะการลดดอกเบี้ยมากกว่า 25bps ต่อครั้งนั้นมักจะเกิดขึ้นเฉพาะในตอนที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวอย่างชัดเจน แต่ปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง
ดังนั้น Fed จึงยังไม่มีความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยมากเป็นพิเศษในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ หาก Fed ลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุมเดือนกันยายนและส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไปในการประชุมครั้งถัดไป ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อาจพลิกกลับมาแข็งค่า และกดดันให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าได้ในระยะสั้น
นอกจากนั้น อีกปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของค่าเงินในช่วง 2-3 เดือนนี้ได้แก่แนวโน้มการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยเฉพาะคะแนนนิยมของทรัมป์เนื่องจากนโยบายหลักในการหาเสียงของทรัมป์นั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า ได้แก่