นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในประเทศไทย โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 7 มิถุนายน พบผู้ป่วย 19,503 ราย เสียชีวิต 17 ราย
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่าโรคไข้เลือดออกจะกลับมาระบาดอีกครั้งปี 2566 ตามวงรอบของปีที่จะระบาด และสถานการณ์โรคไข้เลือดออกระยะนี้มีแนวโน้มพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก เพราะระยะนี้มีฝนตกลงมาหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำขังค้างในภาชนะต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย
จากรายงานล่าสุดของกรมควบคุมโรค ระบุจำนวนผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกปี 2566 มากกว่าปี 2565 ในช่วงเวลาเดียวกันถึง 3.8 เท่า กลุ่มอายุที่พบป่วยสูงสุด ได้แก่ อายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี
จังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุดใน 4 สัปดาห์ล่าสุดคือ จ.ตราด อ.เกาะช้าง บ่อไร่ แหลมงอบ คลองใหญ่ จ.น่าน อ.สองแคว ทุ่งช้าง เชียงกลาง จ.จันทบุรี อ.เมือง ท่าใหม่ มะขาม จ.แม่ฮ่องสอน อ.ขุนยาวม แม่ลาน้อย และจ.สตูล อ.เมือง รวมระบาดใน 348 อำเภอ 71 จังหวัด ซึ่งประเมินความเสี่ยงพบมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกภาค
ส่วนปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วยที่เสียชีวิตคือ ไปรักษาที่โรงพยาบาลช้าเกินไป มีภาวะอ้วน ได้รับยากลุ่ม NSAIDs มาก่อน และมีโรคประจำตัว
นายอนุชา กล่าวอีกว่า รัฐบาลโดยกรมควบคุมโรคขอความร่วมมือประชาชนช่วยกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค ได้แก่
นอกจากนี้ ต้องช่วยกันพัฒนาสิ่งแวดล้อม ป้องกันควบคุมโรคติดต่อนำโดยยุงลาย 7 สถานที่หรือ 7 ร. ได้แก่
สถานที่ดังกล่าวมีประชาชนรวมตัวกันจำนวนมาก ถือเป็นสถานที่เสี่ยงมีการระบาดของโรคไข้เลือดออก และจากผลการสำรวจ พบแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายสูงสุดในกลุ่มโรงเรียนและโรงธรรม
อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้มีโรคประจำตัว ภาวะอ้วน ผู้สูงอายุ และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกยุงกัด ถ้ามีไข้สูงลอย ร่วมปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา หรือมีจุดเลือดออกที่ลำตัว และแขน ขา ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง โดยเฉพาะยาลดไข้ในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก แอสไพริน
รวมถึงยาชุด มีผลทำให้เลือดออกในช่องทางเดินอาหารและยากต่อการรักษา เสี่ยงเสียชีวิต หากมีไข้ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคให้ชัดเจน จะช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้