17 ตุลาคมของทุกปี “วันขจัดความยากจนสากล”

17 ต.ค. 2567 | 09:10 น.
อัปเดตล่าสุด :17 ต.ค. 2567 | 09:17 น.

17 ตุลาคม “วันขจัดความยากจนสากล” ยูนิเซฟ เผย “คนยากจน” ในประเทศไทย ถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า อายุ เพศ ศาสนาและความพิการ ถึง 3 เท่า

วันที่ 17 ตุลาคมของทุกปี เป็น “วันขจัดความยากจนสากล” (International Day for the Eradication of Poverty  หรือ #EndPoverty Day) ซึ่งปีนี้องค์การยูนิเซฟได้เน้นย้ำถึงปัญหาการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่ยากจน

โดยในประเทศไทย ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีทั่วประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า ประชาชนรู้สึกว่าตนเองถูกเลือกปฏิบัติเพราะความยากจนมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ เช่น อายุ เพศ ศาสนา หรือความพิการ ถึง 3 เท่า

นางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวว่า ความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องการขาดเงินหรือทรัพยากร แต่ยังเชื่อมโยงกับการถูกตีตราและกีดกันทางสังคม เด็กจากครอบครัวยากจนมักขาดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และการคุ้มครอง ซึ่งส่งผลให้พัฒนาการถูกจำกัดและตกอยู่ในวงจรความยากจนข้ามรุ่น

17 ตุลาคมของทุกปี “วันขจัดความยากจนสากล”

อีกทั้งยังมักถูกตำหนิและได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หากเราต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรมและก้าวหน้า เราต้องยุติการตีตราและสร้างหลักประกันว่าเด็กทุกคนจะสามารถเข้าถึงสิทธิของตนและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมและเกื้อกูล โดยไม่คำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี การศึกษาในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา จะพบว่า

“คนยากจนมักถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม”

เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น รูปลักษณ์ ที่อยู่อาศัย หรือลักษณะส่วนบุคคลอื่น ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกถูกตีตรา ไม่ได้รับความเคารพ และไร้อำนาจต่อรอง สถานการณ์นี้ยิ่งรุนแรงขึ้นสำหรับผู้ที่ถูกเลือกปฏิบัติด้านอื่นด้วย เช่น เพศสภาพ วิถีทางเพศ เชื้อชาติ หรือชาติพันธุ์

17 ตุลาคมของทุกปี “วันขจัดความยากจนสากล”

"ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจน โดยกลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษคือ ครอบครัวที่มีลูก ครอบครัวที่มีรายได้ทางเดียว คนที่มีหนี้สินหรือไม่มีเงินออม และครอบครัวที่ดูแลลูกที่พิการ นอกจากนี้ เหตุการณ์วิกฤตในชีวิต เช่น การเจ็บป่วย การตกงาน หรือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม อาจทำให้คนตกอยู่ในความยากจนอย่างกะทันหันได้"

ขณะที่ผลการศึกษาทั่วโลก พบว่า คนยากจนมักเผชิญปัญหาจากหน่วยงานที่ควรช่วยเหลือพวกเขา โดยบริการหลายส่วนไม่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พวกเขารู้สึกไร้อำนาจและถูกทอดทิ้ง บ่อยครั้งที่หน่วยงานต่าง ๆ กลับกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและบริการจำเป็น เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพ และการคุ้มครองทางสังคม

นางคยองซอน คิม กล่าวอีกว่า ยูนิเซฟทั่วโลกยังพบว่า การคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุม การศึกษา และการดูแลสุขภาพ เป็นกุญแจสำคัญในการทำลายวงจรความยากจน โครงการคุ้มครองทางสังคมและเงินอุดหนุนได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยลดความยากจนและช่วยให้ครอบครัวสามารถลงทุนในการศึกษาและสุขภาพของเด็กได้

17 ตุลาคมของทุกปี “วันขจัดความยากจนสากล”

นอกจากนี้ ยังช่วยให้ครอบครัวรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ในประเทศไทย โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดในปัจจุบันมุ่งเน้นให้เงินอุดหนุนรายเดือนแก่เด็กอายุน้อยกว่า 6 ปีในครอบครัวยากจน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดพบว่าเด็กยากจน 34% ทั่วประเทศกลับไม่ได้รับเงินอุดหนุนรายเดือนตามสิทธิ์ เนื่องจากปัญหาการคัดกรองและการลงทะเบียน ยูนิเซฟจึงเรียกร้องให้มีการขยายโครงการนี้ให้ครอบคลุมเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีทุกคนเพื่อแก้ปัญหาการตกหล่น อีกทั้งยังช่วยลดความยากจนและช่วยให้เด็กได้เริ่มต้นชีวิตอย่างดีที่สุด

“ยูนิเซฟยังรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันยุติการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อคนยากจน พร้อมทั้งสร้างหลักประกันว่า ระบบและนโยบายต่าง ๆ จะตอบสนองความต้องการและช่วยให้พวกเขารู้สึกมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี”