เว็บไซต์ของ ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ ADB เผยแพร่ รายงาน Key Indicators for Asia and the Pacific 2023 ว่าด้วยเรื่องดัชนีชี้วัดสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในปี 2566 ในวันนี้ (24 ส.ค.) ระบุว่า ประชากรราว 155.2 ล้านคนใน กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิก หรือคิดเป็นสัดส่วน 3.9% ของจำนวนประชากรทั้งหมดในภูมิภาคแห่งนี้ ดำเนินชีวิตด้วย ความยากจนขั้นรุนแรง ในปี 2565 โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 67.8 ล้านคนจากช่วงก่อนที่โรคโควิด-19 แพร่ระบาดและก่อนที่จะเกิดวิกฤตค่าครองชีพพุ่งสูง
ทั้งนี้ คำนิยามของ “ความยากจนขั้นรุนแรง” คือ การดำรงชีพด้วยเงินไม่ถึง 2.15 ดอลลาร์สหรัฐ/วัน (ประมาณ 75 บาท/วัน)
นายอัลเบิร์ต พาร์ค ผู้อำนวยการ ADB กล่าวว่า แม้ขณะนี้เอเชียและแปซิฟิกกำลังฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่วิกฤตค่าครองชีพที่ทวีความรุนแรงขึ้นนั้น กำลังบั่นทอนความคืบหน้าในการขจัดความยากจน
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องเสริมสร้างเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมให้แข็งแกร่งสำหรับคนยากจน และเร่งผลักดันการลงทุนและนวัตกรรม เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและการจ้างงาน และเพื่อให้รัฐบาลในภูมิภาคแห่งนี้สามารถกลับมาบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
รายงานของ ADB ยังระบุด้วยว่า ประชาชนที่ยากจนส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตค่าครองชีพ โดยประชาชนเหล่านี้ไม่สามารถซื้อสิ่งของจำเป็นที่มีราคาสูงขึ้นได้ เช่น อาหารและเชื้อเพลิง ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและบริการขั้นพื้นฐานทำให้ประชาชนที่ยากจนไม่สามารถออมเงิน จ่ายค่าดูแลสุขภาพ หรือลงทุนในด้านการศึกษา และยังขาดโอกาสในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้หญิงได้รับผลกระทบจากการได้รับรายได้น้อยกว่าผู้ชาย และบางครั้งก็ทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ADB คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะยังคงมีความคืบหน้าในการขจัดความยากจน อย่างไรก็ตาม คาดว่าภายในปี 2573 ประชากรประมาณ 30.3% ในภูมิภาคแห่งนี้ หรือประมาณ 1,260 ล้านคน อาจจะอยู่ในกลุ่มที่มีความเปราะบางทางเศรษฐกิจ โดยจะดำรงชีพด้วยเงินประมาณ 3.65-6.85 ดอลลาร์/วัน (ประมาณ 127-239 บาท/วัน) เท่านั้น โดยอิงกับราคาของปี 2560
แนะแนวทางแก้วิกฤต
ในการแก้ไขวิกฤตค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นนั้น ADB แนะนำว่า รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกสามารถสร้างระบบการป้องกันสังคมให้แข็งแกร่ง เพิ่มการสนับสนุนการพัฒนาด้านการเกษตร ปรับปรุงการเข้าถึงบริการด้านการเงินของประชาชน ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมนวัตกรรมด้านเทคโนโลยี ตลอดจนการพัฒนาทุนมนุษย์