ถอดรหัส “การทูตเชิงรุก” ภารกิจของกต.ยุคใหม่

22 พ.ย. 2566 | 22:44 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ย. 2566 | 23:26 น.

ถอดรหัส "นโยบายการต่างประเทศยุคใหม่" จากการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกประจำปี 2566 ภารกิจของการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ที่ต้องส่งเสริมทั้งการค้าขายและการลงทุน ตามนโยบายหลักของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและนำไทยกลับมาผงาดบนเวทีโลก

 

การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลก ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 19-24 พฤศจิกายน 2566 ที่กรุงเทพฯ ในหัวข้อ “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” ซึ่งมีเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยจาก 97 สำนักงานทั่วโลก พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมนั้น นับเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ และทีมประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมนักการทูตที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น ทูตเกษตร ทูตพาณิชย์ และหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบเฉพาะทาง เช่น BOI ได้มาร่วมกันกำหนดแนวทางและกลยุทธ์ขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศสู่ยุคใหม่ ซึ่ง "นโยบายต่างประเทศยุคใหม่" จะหมายความว่าอย่างไรนั้น ถอดรหัสจากเนื้อหาที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้กล่าวเปิดงานและมอบนโยบายเอาไว้ ได้ดังนี้

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศต้องเกิดขึ้นที่บ้าน มีลักษณะเชิงรุก มองไปข้างหน้า ขยายวงกว้างและเข้าถึง

 

นโยบายต่างประเทศยุคใหม่และเข็มทิศในการทำงาน

นายปานปรีย์ ได้มอบนโยบายและแนวทางการกำหนดนโยบายต่างประเทศสู่ยุคใหม่เพื่อเป็นเข็มทิศในการทำงาน ได้แก่ นโยบายต่างประเทศต้องเกิดขึ้นที่บ้าน(สะท้อนความต้องการและประโยชน์ของประชาชน) มีลักษณะเชิงรุก มองไปข้างหน้า และขยายวงกว้างและเข้าถึง

โดยโจทย์สำคัญคือ การวางตำแหน่งของประเทศไทยเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และทิศทางของโลกในปัจจุบัน และขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศในทุกมิติเพื่อตอบสนองผลประโยชน์แห่งชาติและสร้างความกินดีอยู่ดีแก่ประชาชน โดยมีระดับการดำเนินการจากวงแคบสู่วงกว้างใน 4 ระดับ ได้แก่

1.ประเทศเพื่อนบ้าน โดยมุ่งส่งเสริม ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จทั้งด้านกฎระเบียบ/มาตรฐาน เชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมการค้าชายแดนและข้ามแดน และลดช่องว่างด้านการพัฒนา โดยเร่งรัดการดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ยังคั่งค้างให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

2.ภูมิภาคและอนุภูมิภาค โดยรักษาความเป็นเอกภาพและความเป็นแกนกลางของอาเซียน รวมทั้งสนับสนุนการบูรณาการในภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยควรมีบทบาทสำคัญในการร่วมสร้างรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน ขณะเดียวกันควรมุ่งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ให้ก้าวหน้า

3.ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจ โดยรักษาสมดุลในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับจีนและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งมีจุดยืนของตนเองบนพื้นฐานของหลักการที่ชัดเจนและผลประโยชน์ของประเทศ และมองไปยังประเทศที่มีอำนาจในตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา และกลุ่มประเทศอำนาจอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์กับไทย

4.การทูตพหุภาคี โดยยึดมั่นในหลักการสากลและชูจุดแข็งของไทยที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก อาทิ การพัฒนาที่ยั่งยืน สาธารณสุข และร่วมกำหนดทิศทางของประเด็นระหว่างประเทศที่สำคัญ โดยการทูตพหุภาคีไม่จำกัดเฉพาะระดับสหประชาชาติ แต่ยังเชื่อมต่อไปยังกรอบความร่วมมืออื่น ๆ เช่น

  • ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation: BIMSTEC)
  • กรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD)
  • กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Asia-Pacific Economic Cooperation: APEC) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) และกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF)
  • นอกจากนี้ ควรมองไปข้างหน้าถึงโอกาสในกรอบความร่วมมืออื่น ๆ ที่จะเป็นประโยชน์กับไทยด้วย อาทิ OECD และ BRICS

เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ รวมทั้งทีมไทยแลนด์ รับทราบนโยบายที่สำคัญอันเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาล

 

ย้ำบทบาททูตเศรษฐกิจ นำไทยผงาดเวทีโลก

การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกประจำปีนี้ นอกจากเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่จะได้รับทราบทิศทางและแนวนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งเพิ่งเข้ารับหน้าที่ ดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังเป็นเวทีที่มีวัตถุประสงค์แลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกต.กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกำหนดแนวทางในการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศ และรับทราบนโยบายที่สำคัญอันเป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โครงการแลนด์บริจด์ การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ความมั่นคงทางพลังงาน เศรษฐกิจดิจิทัล การส่งเสริมการท่องเที่ยว และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านและจังหวัดที่มีชายแดนติดต่อกัน เป็นต้น

ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความคาดหวังและมอบหมายนโยบายเกี่ยวกับบทบาทของทูตและทีมประเทศไทยเอาไว้อย่างชัดเจน แบ่งกรอบงานเป็นส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่งานที่เกี่ยวข้องกับการเป็นทูตเศรษฐกิจ ส่งเสริมทั้งการค้าขาย และการลงทุน ตามนโยบายหลักของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยอาศัยภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อน ขณะที่รัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุนและเอื้อให้การค้าต่างประเทศและการลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เช่น การนำสินค้าไทยไปขายในต่างแดน การทำให้ดัชนีความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business) ดีขึ้น รวมถึงการเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTAs) ให้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ

ทั้งนี้ ย้ำถึงบทบาททางการทูตในการช่วยเหลือคนไทยและธุรกิจไทยในต่างประเทศ การทำงานร่วมกันในฐานะทีมประเทศไทย โดยรวมหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และการสนับสนุนร่วมกัน โดยมีหัวใจสำคัญของการดำเนินการทูตแบบใหม่ คือเป้าหมายของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความกินดีอยู่ดีของประชาชน ซึ่งจะทำให้ไทยมีอิทธิพล มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีโลกมากขึ้น