ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยังคงยืนยันเจตนารมย์ว่า เขาจะไม่ถอนตัวออกจากการแข่งขันใน ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยเมื่อวันพุธ (3 ก.ค.) ไบเดน วัย 81 ปี กล่าวกับทีมงานหาเสียงระหว่างการประชุมทางโทรศัพท์ว่า เขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจาก พรรคเดโมแครต อย่างเป็นทางการสำหรับการเลือกตั้งปลายปีนี้ "ผมจะไม่ถอนตัวจากการแข่งขัน"
ไบเดนและรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส เข้าร่วมการประชุมทางโทรศัพท์กับทีมงาน ช่วงหนึ่งเขากล่าวว่า “สองสามวันที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมแน่ใจว่าพวกคุณได้รับโทรศัพท์มากมาย และพวกคุณหลายคนก็คงมีคำถามเช่นกัน ผมขอพูดอย่างชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียบง่ายที่สุด และตรงไปตรงมาที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นคือ ผมจะลงแข่งขัน”
ไบเดนกล่าวเสริมว่า “ผมเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต ไม่มีใครผลักผมออกไปได้ ผมจะไม่ออกไป จะอยู่ในการแข่งขันจนถึงที่สุด และเราจะต้องชนะ เพราะเมื่อพรรคเดโมแครตสามัคคีกัน เราก็จะชนะเสมอ”
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจที่จัดทำโดยยูเอสเอ ทูเดย์ (USA Today) สื่อใหญ่ของสหรัฐ ที่จัดทำร่วมกับมหาวิทยาลัยซัฟโฟล์ค สอบถามความเห็นชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 1,000 คนในช่วงวันสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (ศุกร์ที่ 28 – อาทิตย์ที่ 30 มิ.ย.2567) พบว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีจาก พรรครีพับลิกัน มีคะแนนนิยมเหนือกว่านายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากพรรคเดโมแครต ที่ 41% ต่อ 38%
ขณะที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนที่สำนักข่าวรอยเตอร์ร่วมจัดทำกับบริษัทอิปซอสส์ พบว่า ปธน.ไบเดน ยังมีคะแนนนิยมพอๆกับนายทรัมป์ สะท้อนภาพการแข่งขันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ยังคงสูสีอย่างมาก ท่ามกลางข้อกังวลและสงสัยเกี่ยวกับประเด็น “ความพร้อม” ทางด้านกายภาพและวัยของไบเดนหลังการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกที่จัดโดยสำนักข่าว CNN
"ไม่มีใครผลักผมออกไปได้ ผมจะไม่ออกไป จะอยู่ในการแข่งขันจนถึงที่สุด"
ผลสำรวจทั้งสองชุดนี้ จัดทำขึ้นหลังจากการดีเบต หรือการประชันวิสัยทัศน์ครั้งแรกระหว่างไบเดนและทรัมป์ ที่ CNN จัดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 มิ.ย.) ณ นครแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย การที่ปธน.ไบเดน วัย 81 ปี พูดจาติดขัดตะกุกตะกักเป็นระยะๆ และมีจังหวะที่ใช้ความคิดอยู่นานก่อนตอบคำถามอย่างอ่อนล้า ทำให้เขาไม่สามารถท้าทายวาทะของทรัมป์ได้ในหลายครั้ง จนเกิดกระแสเรียกร้องภายในกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตที่เห็นว่าไบเดน “ไม่พร้อม” และขอให้เขาถอนตัวออกจากการเลือกตั้งครั้งนี้
ผลสำรวจของรอยเตอร์-อิปซอสส์ครั้งล่าสุดชี้ว่า ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตราว 1 ใน 3 มองว่า ปธน.ไบเดน ควรถอนตัวจากการเลือกตั้งครั้งนี้ได้แล้ว แต่ตัวไบเดนเองก็ได้ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว ผลสำรวจยังระบุว่า มีผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตถึง 83% และผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน 97% ที่ “เห็นด้วย” ในประเด็นที่ว่า ไบเดนเหมือนจะแสดงออกซึ่ง “ความชรา” ของเขาในการดีเบตครั้งแรก
แม้ว่า ผลสำรวจต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงเวลาที่เปลี่ยนไป แต่ก็เห็นได้ชัดว่า สมรรถภาพและวัยของปธน.ไบเดน เป็นประเด็นที่ถูกขยายอย่างกว้างขวางหลังการประชันวิสัยทัศน์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
ในส่วนของทรัมป์เอง ซึ่งอายุน้อยกว่าไบเดน (ทรัมป์อายุ 78 ปี) มีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับคดีความของเขา โดยทรัมป์เป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนแรกที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดทางอาญา ทรัมป์มีกำหนดฟังคำพิพากษาของศาลในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ หลังลูกขุนตัดสินว่าเขามีความผิดใน 34 กระทงจากคดีใช้เงินปิดปากนักแสดงหญิงคนหนึ่งที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กัน ก่อนการเลือกตั้งในปี 2016 ซึ่งความผิดนี้อาจมีโทษถึงขั้นจำคุก แต่ถึงกระนั้น ผลสำรวจล่าสุดของยูเอสเอ ทูเดย์ ก็ยังชี้ว่า ทรัมป์ยังมีคะแนนนิยมเหนือไบเดน แม้จะไม่มากนักก็ตาม
แม้เมื่อถ่วงน้ำหนักของบรรดาผลสำรวจของสำนักต่างๆ คะแนนนิยมของทั้งคู่อาจจะไม่ทิ้งห่างกันมากนัก แต่นั่นก็สะท้อนภาพการแข่งขันที่ยังคงสูสี มีผู้ตอบคำถามการสำรวจจำนวนมากที่ระบุว่า พวกเขายังคงลังเลว่าจะเลือกใคร และไม่แน่ใจว่าจะเปลี่ยนใจลงคะแนนให้ผู้ลงสมัครคนอื่นหรือไม่ บ้างก็ตอบว่า อาจจะไม่ออกไปลงคะแนนเสียงเลยด้วย
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อผู้ท้าชิงทั้งคู่ต่างมีบาดแผลไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัยและสมรรถนะของไบเดน หรือเรื่องคดีความของทรัมป์ อีกทั้งบุคคลทั้งสองเป็นทางเลือกที่ยังไม่ถูกใจผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งมากนัก จะเป็นโอกาสให้ผู้สมัครท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามอิสระ อย่างนายโรเบิร์ต เคนเนดี ได้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจหรือไม่ ผลสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนของรอยเตอร์พบคำตอบว่า 10% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า พวกเขาจะไปเลือก หากมีชื่อของเคนเนดีในบัตรเลือกตั้ง
สมาชิกพรรคเดโมแครตกำลังจะมีการประชุมใหญ่ในเดือนสิงหาคม (19-22 ส.ค.) เพื่อฟันธงว่าใครจะเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน บางคนก็เริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ในการ “เปลี่ยนตัว” ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในนามของพรรค
แม้ไบเดนได้รับชัยชนะมาอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งขั้นต้น หรือไพรมารีโหวต (Primary Vote) ของพรรคเดโมแครตเมื่อต้นปี แต่เนื่องจากยังไม่มีการรับรองอย่างเป็นทางการจากพรรค ดังนั้น ในทางหลักการ พรรคเดโมแครต ก็ยังมีโอกาสที่จะเลือกผู้สมัครคนอื่นมาทำหน้าที่แทนไบเดน
เอเลน คามาร์ค (Elaine Kamarck) นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบัน Brookings Institution ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครต (DNC) และผู้เขียนหนังสือเรื่อง "Primary Politics" เกี่ยวกับกระบวนการเสนอชื่อบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อช่วงสิ้นเดือนมิ.ย. หลังการดีเบตครั้งแรกว่า การเปลี่ยนตัวแม่ทัพกลางศึก หรือการเปลี่ยนตัวให้คนอื่นมาเป็นผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนไบเดนในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น “ไม่ใช่เรื่องง่าย” แม้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ก็ตาม
เหตุผลเพราะไบเดนถือเป็นผู้แทนของพรรคอย่างไม่เป็นทางการ (Presumptive Nominee) และได้รับชัยชนะถล่มทลายในการเลือกตั้งขั้นต้น ซึ่งการที่เขาได้รับเลือกจากคณะผู้แทนเลือกตั้งในไพรมารีโหวต ก็หมายความว่า แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ไบเดนจะถูกบีบให้ออกจากการแข่งขัน หากไม่ใช่เป็นเพราะความประสงค์ของตัวเขาเอง ซึ่งหากเป็นกรณีเช่นนั้น จึงจะเป็นการเปิดโอกาสให้คณะผู้แทนที่สนับสนุนเขาในการเลือกตั้งขั้นต้น เปลี่ยนไปลงคะแนนเสนอชื่อผู้สมัครคนอื่นในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่จะมีขึ้นที่เมืองชิคาโกในเดือนสิงหาคม
ภายใต้กฎของพรรคเดโมแครตนั้น คณะกรรมการแห่งชาติ หรือ DNC (Democratic National Committee) จะมีอำนาจในการสรรหาผู้ที่เหมาะสมมาแทนตำแหน่งที่ว่างลงหลังการประชุมใหญ่ โดยประธานพรรคจะปรึกษาหารือกับเหล่าผู้ว่าการรัฐและแกนนำพรรคเดโมแครตในรัฐสภา
ในกรณีที่ประธานาธิบดีทำหน้าที่ไม่ได้ หรือเป็น Incumbent President ที่กลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถ โดยปกติแล้วรองประธานาธิบดีจะก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทนประธานาธิบดี แต่ภายใต้กฎเกณฑ์ของพรรคเดโมแครต หากสถานการณ์เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า บุคคลผู้นั้น (รองประธานาธิบดี) จะกลายมาเป็นผู้แทนของพรรคในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้โดยอัตโนมัติ
กระนั้นก็ตาม เมื่อพูดถึงตัวเต็งหรือทางเลือกที่สองแทนที่นายไบเดน รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส ก็ดูจะเป็นตังเต็งที่ดีที่สุดในสายตาคนทั่วไป
หากไบเดนตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันจริงๆ เขาก็อาจเสนอชื่อใครสักคนมาเป็นตัวแทน ซึ่งความเป็นไปได้อันดับหนึ่งน่าจะเป็น “คามาลา แฮร์ริส” รองประธานาธิบดีหญิงวัย 59 ปี
อย่างไรก็ตาม แฮร์ริสถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ไม่สามารถแสดงบทบาทที่โดดเด่นภายใต้รัฐบาลของไบเดน ทั้งนี้ คะแนนนิยมของเธอยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งสะท้อนว่าอาจเป็นเรื่องยากที่เธอจะเอาชนะคู่แข่งที่เจนสังเวียนและยังได้รับความนิยมสูงอย่างโดนัลด์ ทรัมป์
รายงานข่าวระบุว่า นอกเหนือจากรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส บุคคลอื่นๆที่อาจก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ยังได้แก่
ไม่ว่าจะมีข้อกังขาใดๆเกิดขึ้น แต่จนถึงขณะนี้ (4 ก.ค.) ปธน.โจ ไบเดน ยังคงยืนกรานว่า เขายังไม่ถอยจากการแข่งขันในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี 2024 ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากทำเนียบขาว แม้ว่าจะมีแรงกดดันภายในพรรคมากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
ข้อมูลอ้างอิง