นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ได้ประเมินผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนไทย หากบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มียอดขายสูงสุดเป็นลำดับสองของจีน มีการผิดนัดชำระหนี้ พบว่า ผลกระทบยังมีจำกัด เนื่องจากผลประกอบการบริษัทย่ำแย่มาสักระยะหนึ่งแล้ว
ขณะเดียวกัน หุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) มาหลายปี ทำให้ กองทุนรวมของไทยลงทุนในหุ้นและหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์ในมูลค่าที่น้อยมาก
อย่างไรก็ดี หากตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้จีนถูกเทขายรุนแรง กองทุนรวมหลายแห่งของไทยอาจจะได้รับผลกระทบพอสมควร เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่ไทยไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ
“กรณีดังกล่าว ทำให้เห็นว่า การติดตามสถานะบริษัทที่มีความสำคัญต่อระบบของผู้กำกับดูแล มีความจำเป็นมากเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน โดย ธปท.ได้ติดตามและประเมินความเสี่ยงของบริษัทขนาดใหญ่ต่อเนื่อง เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก มีบริษัทที่มีการออกหุ้นกู้ในปริมาณที่มากขึ้น”นายดอนกล่าว
ทั้งนี้ปัจจุบัน ธปท.ได้ติดตามความเสี่ยงของกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญต่อระบบ 30 กลุ่มบริษัท โดยใช้ข้อมูลจากงบการเงินจากสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ จากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ จากนักวิเคราะห์ รวมถึงการพูดคุยกับบริษัทเหล่านี้โดยตรง
“มีข่าวดีว่า เราเห็นโอกาสที่กลุ่มบริษัทนี้ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในระยะ 1 ปีข้างหน้าต่ำมาก โดยถ้าไม่นับบริษัท การบินไทย หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดลำดับที่ออกโดยกลุ่มบริษัทเหล่านี้ มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ Investment Grade ทั้งหมด”นายดอนกล่าว