ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีน ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาวิกฤตสภาพคล่อง มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัท 2 งวดในเดือนกันยายนนี้ ได้แก่
หากเอเวอร์แกรนด์ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยเมื่อถึงวันกำหนดชำระดังกล่าว ทางบริษัทจะมีเวลาอีก 30 วันเพื่อทำการชำระ และหากบริษัทยังคงไม่สามารถชำระดอกเบี้ยก็จะถือว่าบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ และคาดว่านักลงทุนที่เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์จะได้รับส่วนแบ่งการชำระคืนในสัดส่วนที่ต่ำ
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงข้อมูลจาก บริษัทวิจัยมอร์นิงสตาร์ ไดเร็คท์ (Morningstar Direct) ระบุว่า กองทุนต่างชาติหลายราย ไม่ว่าจะเป็น UBS, HSBC และ Blackrock ได้เข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา
นายแพทริก จี นักวิเคราะห์ของมอร์นิงสตาร์ ฯ เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างเดือน ก.ค.-ส.ค.ที่ผ่านมา มีหลายกองทุนเข้าซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์เพิ่มเติม เนื่องจากมีมูลค่าที่น่าจูงใจ
จากการเปิดเผยของมอร์นิงสตาร์ฯ พบ รายชื่อกองทุนขนาดใหญ่ที่ได้เข้าซื้อหุ้นกู้จำนวนมากของเอเวอร์แกรนด์ ได้แก่
จากข้อมูลของมอร์นิงสตาร์ฯ พบว่า กองทุน BlackRock (แบล็คร็อค) ซึ่งเป็นบริษัทจัดการกองทุนรวมรายใหญ่ที่สุดของโลกนั้น ได้ซื้อหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์เพิ่ม 31.3 ล้านหน่วยในระหว่างเดือนม.ค.-ส.ค. 2564 ทำให้การลงทุนในบริษัทดังกล่าวเพิ่มสัดส่วนขึ้นเป็น 1%
ส่วนธนาคาร HSBC เพิ่มการลงทุนในหุ้นกู้ของเอเวอร์แกรนด์อีก 40% ในช่วงเดือนม.ค.-ก.ค.2564 ขณะที่ธนาคาร UBS ข้อมูลจากเดือนม.ค.ถึงพ.ค.ซึ่งเป็นตัวเลขล่าสุดเท่าที่มี ชี้ว่ามีการถือครองหุ้นกู้เอเวอร์แกรนด์ในแง่จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 25% อย่างไรก็ตาม ทั้งสามกองทุนไม่ได้ตอบคำถามของรอยเตอร์เมื่อมีการสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของเอเวอร์แกรนด์
นักวิเคราะห์ของมอร์นิงสตาร์ ฯ กล่าวว่า ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนไปได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ นักลงทุนยังไม่ควรคาดหวังว่ารัฐบาลจีนจะยื่นมือเข้ามาอุ้มกิจการของเอเวอร์แกรนด์