KEY
POINTS
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเกิดเหตุไม่คาดฝันกับบริษัทจดทะเบียน(บจ.) ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นไทยหลายครั้ง จนกระทบต่อความเชื่อมั่นและการระดมทุนของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นหุ้นฉาวอย่าง “มอร์ รีเทิร์น” หรือ MORE ที่โดนข้อหาฉ้อโกง 11 โบรกเกอร์ “สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น” หรือ STARK คดีใหญ่เรื่องการตกแต่งบัญชี หรือ การผิดนัดหุ้นกู้ของ “เจเคเอ็น โกลบอล” หรือ JKN จนทำให้ตลาดหุ้นกู้ปั่นป่วน
ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องออกมาตรการยกระดับการกำกับดูแลการซื้อขาย เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ที่ดำเนินการไปแล้วคือ กำกับดูแลการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดดิ้ง ซึ่งมีผลบังคับไปเมื่อวันที่ 1 และเพิ่มมาตรการ Auction Matching, Dynamic Price Band และ Minimum Resting Time ตั้งแต่ 2 กันยายน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ยังปรับปรุงเกณฑ์บทระวางโทษปรับเป็นเงิน สำหรับโบรกเกอร์ให้สูงขึ้นด้วย
การจัดบ้านและฟื้นความเชื่อมั่น จึงเป็นภารกิจใหญ่ของ “อัสสเดช คงสิริ” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คนที่ 14ที่เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 และจะมีการแถลงแผนยุทธศาสตร์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2570) อย่างเป็นทางการได้วันที่ 28 พฤศจิกายน 2567
“หลังเข้ามาเรียนรู้งาน ทำให้เห็นว่า ปัญหาหนึ่งคือ การสื่อสาร ดังนั้นสิ่งแรกที่จะทำคือ พัฒนาการสื่อสารและการ Take action ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้รวดเร็วมากขึ้น"
ทั้งนี้ เพราะในบางเรื่องไม่ใช่อำนาจของตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหน่วยงานเกี่ยวข้องเยอะ แต่ด้วยการสื่อสารให้ทุกคนรับทราบว่า เราเองก็รู้เรื่องแล้ว และไม่ได้นิ่งนอนใจ อาจจะช่วยสร้างความเข้าใจกับประชาชนและนักลงทุนได้อย่างรวดเร็วและรับทราบอย่างเท่าเทียมกัน (Fair Disclosure)
สิ่งที่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนก่อนฝากไว้คือ อยากให้เดินหน้าพัฒนาเรื่องเทคโนโลยี ทั้งนำมาใช้ในการทำให้การสื่อสารของตลาดหลักทรัพย์สามารถสื่อไปถึงผู้ลงทุนได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น การจัดการข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ดูง่ายขึ้น ให้สามารถนำไปวิเคราะห์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ให้มีองค์ประกอบที่หน่วยงานอื่นๆ สามารถนำไปใช้และเห็นภาพได้อย่างครบถ้วน
เทคโนโลยียังสามารถนำมาใช้ในงานกำกับดูแลด้วยเหมือนกัน เพราะมีข้อมูลเยอะมากที่ต้องมาวิเคราะห์ เพื่อดูถึงพฤติกรรมต่างๆ เป็นอย่างไร อีกทั้งยังมีหุ้นใหม่ๆ เข้ามาระดมทุนเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี ข้อมูลที่จะต้องวิเคราะห์และสังเกตก็มีเพิ่มมากขึ้น AI จะทำให้คำนวณได้เร็วขึ้นมาก มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมาดูว่าจะทำอย่างไรให้เทคโนโลยีถูกนำมาใช้ให้ก่อเกิดประโยชน์ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว AI จะช่วยให้คนเข้าถึงตลาดทุนได้มากขึ้นไหมตลาดมีบทบาทในการลงทุนแพลตฟอร์มการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กระตุ้นให้คนมีโอกาสในการเข้ามาลงทุนที่มากขึ้น
ยกตัวอย่าง DR ที่ผลักดันค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา ปัจจุบันมี 16 กว่าตัว ที่สามารถนำหุ้นต่างประเทศมาให้นักลงทุนไทยเข้าถึงได้
นอกจากนั้น สิ่งที่เห็นคือ หุ้นบจ. ในตลาดเกือบ 50% ที่ซื้อขายอยู่ที่ Price to Book Ratio (P/B Ratio) ต่ำกว่า 1 ซึ่งต้องกลับมาดูว่า มีอะไรที่จะทำให้นักลงทุนสนใจได้ เพราะยังมีหลายบจ. ที่ระวังตัวค่อนข้างมาก เก็บเงินสดไว้กับตัว นำเงินสดนั้นไปเพิ่ม ROE ได้หรือไม่ทำอย่างไร จะกระตุ้นให้ เขาคิดนอกกรอบปัจจุบัน คิดแผนใหม่ๆ ยังไง มีอะไรที่จะจูงใจที่ตลาดฯ สามารถเสนอเองได้บ้าง
ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า บจ. ที่เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai โตขึ้นแล้วย้ายมาอยู่ใน SET น่าจะเกิน 50 บจ. นัั่นแปลว่า มีบริษัทที่เติบโตและข้ามไปอยู่ในกระดานใหญ่ได้ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีที่เสนอให้บจ. อื่นๆ จะพัฒนาตามได้ไหม
อีกสิ่งที่จะทำคือ จะเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น ทั้งการเพิ่มในส่วนของ ROE และ ROA การทำให้งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนมีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อทำให้บริษัทจดทะเบียนเติบโตได้อย่างยั่งยืน และให้ผลตอบแทนกับผู้ลงทุนที่ดี
โดยจะส่งเสริมบจ. ที่มีแผนที่ดีในการสร้างการเติบโต จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้บจ. เหล่านั้นได้หรือไม่ จะเข้าไปคุยกับทางองค์กรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอสนับสนุนด้านภาษี
ทั้งนี้หากบจ.ไม่มีแผนพัฒนาตนเองให้ก้าวกระโดดขึ้นไป รัฐเองก็จะไม่ได้ภาษีเพิ่มขึ้นจากรายได้และกำไรที่โตแบบก้าวกระโดดอยู่แล้ว จึงอาจจะขอให้รัฐช่วยลดในส่วนที่เพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อเป็นการส่งเสริมบจ. เหล่านี้ นำเงินมาลงทุนต่อยอดในธุรกิจตัวเองได้มากขึ้น
รัฐเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพียงแต่ในระยะแรก อาจมีรายได้เข้ามาน้อยหน่อย แต่ในอนาคตอาจเก็บได้เต็มหน่วยมากขึ้น
ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่จะเพิ่มเข้ามาจากเดิมที่มีการให้บริการ TFEX, Option, DR และ DRx ต่างๆ มองว่า ยังมีสินทรัพย์อื่นๆ ที่นักลงทุนไทยมีความสนใจ เช่น การทำ Option ของทองคำ ซึ่งผู้ลงทุนไทยให้ความสนใจในการลงทุนค่อนข้างมาก ทำให้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่จะมีการศึกษานำมาพัฒนาในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำร่วมกันคือ การเดินหน้าฟื้นความเชื่อมั่นในตลาดทุน ซึ่งแผนฟื้นความเชื่อมั่นที่ดีคือ ต้องไม่เกิดกรณีหุ้นปั่นหุ้นโกงการตกแต่งบัญชีนับจากนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า หากไม่เกิดขึ้นอีกเชื่อว่า ความเชื่อมั่นจะกลับมา
ตอนนี้มองว่า เริ่มฟื้นมาเกือบ 100% แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่เกิดขึ้นหากดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว มีการสื่อสารหรือตอบสนองในทันทีย่อมดีกว่า
สำหรับแผนระยะยาวที่กำลังคิดอยู่ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นศูนย์รวมการระดมทุนให้กับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมไหนหรือจะมุ่งเน้นในอุตสาหกรรมใด เพราะในเมืองไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขันที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศในทวีปที่เป็นศูนย์รวม สิ่งหนึ่งที่พยายามสนับสนุนเต็มที่ก็คือ “ไฟแนนซ์เชียลฮับ” ของกระทรวงการคลัง
หน้า 17 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,040 วันที่ 31 ต.ค. - 2 พ.ย. พ.ศ. 2567