การถอนตัวของ รัสเซีย จาก ข้อตกลงส่งออกธัญพืชจากยูเครนผ่านทะเลดำ (Black Sea) ซึ่งหมดอายุลงเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมาและรัสเซียตัดสินใจไม่ต่ออายุข้อตกลงดังกล่าว ทำให้ในขณะนี้ไม่มีเรือขนส่งสินค้ายูเครนผ่านทะเลดำ เนื่องจากความกังวลว่าจะโดนทุ่นระเบิดหรือถูกโจมตีจากรัสเซีย ประเด็นดังกล่าวสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้นำเข้าสินค้า ธัญพืชและสินค้าเกษตร จาก ยูเครน ที่ใช้เส้นทางสำคัญนี้ โดยเฉพาะประเทศในยุโรป โดยระบุนี่อาจนำไปสู่ ความไม่มั่นคงทางอาหาร
ต้นเหตุความปั่นป่วน
รัสเซียระงับการเข้าร่วมในข้อตกลงฉบับสำคัญของสหประชาชาติว่าด้วยการเปิดทางให้ธัญพืชจากยูเครนสามารถขนส่งผ่านทางทะเลดำซึ่งหมดอายุลงเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเป็นการตอบโต้ที่ยูเครนได้โจมตีสะพานเชื่อมแคว้นไครเมีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตสองคนและเด็กผู้หญิงได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน รัสเซียระบุว่า นี่เป็นการก่อการร้ายใส่เส้นทางที่ใช้ลำเลียงเสบียงต่าง ๆ ให้แก่ทหารรัสเซียที่สู้รบอยู่ในยูเครน เรื่องนี้คณะกรรมการต่อต้านการก่อการร้ายรัสเซีย กล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของโดรนจากยูเครน
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนตุลาคม 2565 รัสเซียเคยประกาศระงับการเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวเป็นการชั่วคราวมาครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากที่มีการใช้โดรนโจมตีเรือของรัสเซียในไครเมีย
ความพยายามแก้ไขปัญหา
ข้อตกลงขนส่งธัญพืชผ่านทะเลดำ จัดทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว (2565) โดยรัสเซียยินยอมให้เรือขนส่งธัญพืชและปุ๋ยจากยูเครนและรัสเซีย เดินทางผ่านทะเลดำได้เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปีหลังจากการทำสัญญาดังกล่าว โดยในข้อตกลงมีการระบุว่า อาจมีการขยายเวลาออกไปตามความเหมาะสม แต่เนื่องจากข้อตกลงนี้จัดทำขึ้นในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว ความไม่แน่นอนในสัญญาจึงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
การที่ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะธัญพืชต่าง ๆ และเมล็ดพืชให้น้ำมัน ดังนั้น เมื่อรัสเซียถอนตัวออกจากข้อตกลงฉบับนี้ จึงทำให้ราคาธัญพืชในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นทันที
อันที่จริง นับตั้งแต่ที่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ประเทศในยุโรปต่างก็พยายามเตรียมพร้อมรับปัญหาหากการขนส่งสินค้าผ่านทะเลดำประสบอุปสรรคขัดข้อง โดยพยายามเปิดช่องทางพิเศษทางบกในการช่วยให้ยูเครนสามารถนำสินค้าออกมาขายสู่ตลาดโลกได้ภายใต้โครงการที่ชื่อว่า Solidarity Lanes Action Plan
โครงการดังกล่าวครอบคลุมการขนส่งผ่านประเทศบัลกาเรีย ฮังการี โปแลนด์ โรมาเนีย และสโลวาเกีย
ข้อมูลของสหภาพยุโรป(อียู) ระบุว่า เท่าที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ธัญพืช เมล็ดพืชที่ให้น้ำมัน และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ปริมาณ 41 ล้านตันถูกลำเลียงออกจากยูเครนภายใต้เส้นทางของ Solidarity Lanes Action Plan
อย่างไรก็ตาม จำนวนดังกล่าวคิดเป็น 60% ของสินค้าธัญพืชจากยูเครน ส่วนอีก 40% ยังต้องผ่านทะเลดำ ดังนั้น เมื่อช่องทางทางทะเลดำเกิดปัญหา ในเวลานี้หลายประเทศจึงพิจารณาการส่งสินค้าจากยูเครนเข้าโปแลนด์ก่อนที่จะส่งต่อไปยังท่าเรือทางทะเลของประเทศแถบทะเลบอลติก 3 ประเทศ คือลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย
ผลกระทบที่มีต่อราคาธัญพืชโลก
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การใช้เส้นทางขนส่งสินค้าเกษตรทางบกจากยูเครน อาจเพิ่มต้นทุนสินค้าอาหารในยุโรปและส่วนต่าง ๆ ของโลก
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า การที่รัสเซียถอนตัวจากข้อตกลงธัญพืชทะเลดำ อาจทำให้ราคาธัญพืชโลกเพิ่มขึ้น 10%-15% และนับจากนี้ ไอเอ็มเอฟจะประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
อีกเส้นทางลำเลียงทางเลือก คือ เส้นทางผ่านประเทศเเถบบอลข่าน เช่นโครเอเชีย และมอนเตเนโกร
แม้ว่าตัวเลือกเหล่านี้ เคยถูกหยิบมาพิจารณาและอาจใช้จริงไปบ้างเเล้ว เเต่หากถูกนำมาทดแทนช่องทางทางทะเลดำทั้งหมด ก็อาจจะเกิดปัญหาตามมา
นายมิโคลา กอร์บาชอฟ ประธานสมาคมธัญพืชยูเครนกล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานของยุโรปไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับสินค้าธัญพืชทั้งหมดของการส่งออกจากยูเครน
ขณะเดียวกัน นายลิโอนิด โคซาเชนโก ประธานสมาพันธ์การเกษตรแห่งยูเครน ให้ความเห็นสอดคล้องกันว่า ประเทศพันธมิตรในยุโรปอาจต้องลงทุนอีกหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มความพร้อมด้านระบบขนส่งสินค้าออกจากยูเครน แต่เขาหวังว่าสงครามน่าจะจบลงโดยเร็ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เส้นทางทางเลือกเหล่านี้ก็อาจไม่จำเป็นอีกต่อไป