“ต้องยอมรับว่าประเทศไทย จับตรงไหนก็มีปัญหา และการแก้รายประเด็น อาจช่วยบรรเทาปัญหา แต่จะแก้ได้ทั้งหมด หลายๆ เรื่องต้องแก้ระดับโครงสร้าง ถ้าอยากเปลี่ยนประเทศ ต้องลงมือทำ ต้องใช้เวลา ไม่มีทางลัด ไม่ได้คิดว่านักการเมืองคืออาชีพ แต่เป็นภารกิจเพื่อการเปลี่ยนแปลง”
“ฟลิ้น ณัฐพงษ์ สุมโนธรรม” เล่าให้ฐานเศรษฐกิจฟัง ถึงแรงบันดาลใจของการตัดสินใจก้าวเข้าสู่งานการเมือง จนมาถึงการเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จังหวัดสมุทรสาคร พรรคก้าวไกล จากจุดเริ่มต้นด้วยงานอาสาสมัครช่วยงานพรรคอนาคตใหม่ ที่ฟลิ้นจะใช้เวลาหลังเลิกงานไปร่วมกิจกรรมกับพรรคอนาคตใหม่ เพราะอยากส่งสัญญาณว่ามีประชาชนสนับสนุน อยากให้พรรคเป็นสถาบันทางการเมืองให้อยู่นานๆ
เขาเห็นว่า พรรคก้าวไกลเหมือนเป็น “แกะดำ” ในทางการเมือง เพราะไม่เกี๊ยเซียะกันแบบเดิมๆ บางทีในการเมืองก็มีการขอกันได้คุยกันได้ แต่การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ จนมาถึงพรรคก้าวไกล ก็ต้องถือว่าดิสรัปชั่นวงการการเมืองพอสมควร
ด้วยความที่เขาสนใจเรื่องการกระจายอำนาจมานาน ในฐานะบัณฑิตรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาคือผู้เสนอ และขับเคลื่อน “แคมเปญขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น”ที่เป็นการเสนอแก้ไขหมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจ เพราะเขาเห็นว่า หากท้องถิ่นมีอำนาจ มีเงิน มีทรัพยากร จะทำให้สามารถแก้ปัญหาที่เกิดจากความทับซ้อนได้ เนื่องจากหมดข้ออ้างต่างๆแบบเดิม
ในสนามเลือกตั้งปัจจุบัน แม้เขาจะมองเห็นการเกิดขึ้นของคนรุ่นใหม่ เห็นอิทธิพลของโซเชียลมีเดีย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นใจว่ามีความได้เปรียบภายใต้กติกาบัตรสองใบ ที่ผู้ชนะแบบเขตมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งอาจตกเป็นของบ้านใหญ่ที่ครองพื้นที่มานาน
“ผมคิดว่าการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งเป็นสิ่งที่จะทำให้คนใหม่ๆ เข้าสู่การเมืองได้ยากขึ้น ถ้าบ้านไม่รวย ไม่มีทรัพยากร เนื่องจากระบบเลือกตั้ง ส.ส. แบบเขตเป็นไปในลักษณะผู้ชนะได้หมด ผู้แพ้เสียหมด คะแนนของคนที่ได้ที่สองที่สามก็ตกทิ้งน้ำไปหมด”
แน่นอนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ก็เป็นการเลือกตั้งที่สำคัญ เพราะจะเป็นตัวบอกว่า แนวทางแบบไหน เป็นสิ่งที่คนในสังคมเอาด้วย
สิ่งที่ฟลิ้น ณัฐพงษ์ มองเห็นตัวเองกับเส้นทางการเมืองก็คือ ลงมือทำไปจนกว่าจะเข้าใกล้สังคมที่อยากอยู่ หรืออยากให้ลูกหลานอยู่ได้ หรือหากยังไม่สำเร็จ ก็พร้อมถอยไปสนับสนุนคนใหม่ๆ โดยใช้ประสบการณ์ที่มีสร้างให้คนใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาสู่เส้นทางการเมือง สอดคล้องกับการเห็นค่าของนักการเมืองรุ่นใหม่ ว่ามีความสำคัญในเชิงลักษณะ ที่เป็นคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น เปิดรับการปรับเปลี่ยน
ในความมุ่งหวังต่อประเทศของคนรุ่นใหม่ วัย 28ปีคนนี้ สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่น ด้วยสิ่งที่เขาซึมซับจากนาย ปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะทีมผู้ช่วย ว่าประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่านี้ได้ และต้องใช้เวลา ในด้านการรณรงค์ทางความคิด และอยากขจัดมายาคติว่า การเมืองคือเรื่องผลประโยชน์ ถ้าคนที่มีความตั้งใจดี อยากเข้ามาทำภารกิจเพื่อการเปลี่ยนแปลงเยอะๆ ภาพพวกนี้อาจหายไป นำมาสู่ความเชื่อมั่นในการเมือง ปิดช่องการยึดอำนาจ เพื่อให้ประชาธิปไตยของประเทศไทยได้ลงหลักปักฐาน